• ในขณะนี้สหรัฐฯกำลังเผชิญกับ Growth Recession ซึ่งหมายถึงการที่มี Recession (GDP ติดลบต่อเนื่องกันสองไตรมาส) และในขณะเดียวกันก็มีอัตราการจ้างงานเพิ่มและประชากรมีรายได้มากขึ้นทำให้เงินเฟ้อยังสูงต่อไป สิ่งนี้เรียกว่า Demand Pull Inflation โดยในปัจจุบันทาง Jerome Powell มองว่าสาเหตุเงินเฟ้อหลักๆจะมาจาก Demand Pull Inflation และไม่ใช่ Cost Put Inflation แบบที่ผ่านมา
• Cost Put Inflation นั้นเป็นเงินเฟ้อที่เกิดมาจากสงครามที่ทำให้เกิดปัญหาด้าน Supply อย่างเช่น ปัญหาเรือขนส่งไม่พอ ชิปขาดแคลน ราคาพลังงานและ Commodity เพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งทาง Jerome Powell มองว่าปัญหาเกี่ยวกับ Supply ต่างๆนั้นได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

• ส่วน Demand Pull Inflation นั้นมีสาเหตุมาจากค่าแรง (Wage) โดยที่ผ่านมานั้นสหรัฐฯมีจำนวน Job Opening สูงมาโดยตลอด (โดยที่ยังอยู่ในภาวะ Recession) และมีสัดส่วนของ Job Opening ต่อ Job Filled มากกว่าสองเท่า ทำให้บริษัทต่างๆต้องเพิ่มค่าจ้าง และทำให้กำลังซื้อสูงขึ้นและเกิดเงินเฟ้อ ซึ่งสถานการณ์แบบนี้เรียกว่า Wage Spiral Effect ซึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว ทำให้ Fed อาจจะต้องใช้ QT มากขึ้นหลังจากนี้ ดังนั้นหลังจากนี้ควรจับตาดูตัวเลขการจ้างงานและ QT อย่างใกล้ชิด ถ้าตัวเลขการจ้างงานออกมาดีอาจส่งผลลบต่อตลาดได้
• สำหรับมุมมองด้านการลงทุนในคริปโทฯ ทางเรามองว่าตอนนี้ข่าวร้ายในฝั่งของคริปโทฯน่าจะหมดไปแล้ว แต่ปัจจัยที่กดดันตลาดหลักๆตอนนี้คือ Macroeconomics และถึงแม้ว่าตลาดจะไม่ได้ขึ้นเร็วและแรง โดยอาจจะเป็น Sideway ไปจนกว่าเงินเฟ้อจะดีขึ้น แต่เป็นเวลาที่ดีในการเข้าซื้อสะสมในช่วง BTC ราคา $19,000-$20,000 ซึ่งเป็นแนวรับที่ค่อนข้างแข็งแรง โดยเพิ่มเติมคือในช่วงนี้ให้จับตามองประเด็นเกี่ยวกับ Mt.Gox

DeFi/Alt Coins

• เหตุการณ์เกี่ยวกับคริปโทฯและ DeFi ที่น่าจับตามองในเดือนกันยายนประกอบด้วย The Merge, Cosmoverse, Nearcon, Chainlink Convention, StarkNet Token Launch, SweatCoin Token Launch, Aptos Mainnet Launch เป็นต้น

NFT

• Clone X เปิด Forging Season 1 เพื่อตอบโจทย์กับเป้าหมายของ RTFKT ในการนำ Digital มาผนวกรวมกับ Physical โดยการ Forging นั้นเปิดให้ผู้ใช้งานไป Mint item ต่างๆ เช่น ถุงเท้า หมวก เสื้อ โดยที่สามารถนำมาแลกเป็น Physical Items ได้ในภายหลังโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ถ้าใครชอบก็น่าสะสมหรือถ้าเก็งกำไรก็อาจจะลองเลือกตัวที่มี Supply น้อยๆ เช่น รองเท้า Reptile ที่มีแค่ 500 ชิ้น เป็นต้น

Technical Analysis

• สำหรับ BTC ในมุมมอง Elliot wave มองได้ว่า ได้ทำ a b c ไปแล้วโดย c เป็นรูปแบบ Ending Diagonal และ ตอนนี้ที่ลงมามีโอกาสเป็นเพียง Wave 1 และ อาจมีการเด้งขึ้นเพื่อลงต่อให้ครบ 5 คลื่นได้ ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือมองว่าการขึ้นไปอาจเป็น Wave 1 และกำลังลงทำ Wave 2 อยู่และอาจขึ้น 3 ได้ แต่มองว่าเหมือนน้อยกว่าเนื่องจากขาที่ขึ้นมามีแต่ 3 ขา จึงไม่เหมือน Wave 1

• ETH ทำทรงที่น่าสนใจคือสามารถมองเป็น Wave 1 ได้ และอยู่ในสถานะคลื่น a ของ Wave 2 และมีโอกาสขึ้นทำคลื่นย่อย b และ c ในอนาคต ซึ่งมีการเดาว่าการขึ้นไปทำขา b จะเป็นการรับข่าว The Merge หลังจากนั้นเมื่อตลาด Priced in ราคามีโอกาสปรับตัวลงทำขา C ได้