*ข้อมูลระหว่างวันที่ 16 มกราคม 2024 – 15 กุมภาพันธ์ 2024
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มผันผวน ในกรอบ 35.90 - 36.20 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ โดย ณ ปัจจุบัน อัตราการแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 36.14 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ ไทยบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าได้ถึง 36.30 บาทต่อดอลล่าร์หรือต่ำกว่าในเร็วๆนี้ โดยมี 2 ปัจจัยคอยจับตามองดังนี้
1. DXY ดัชนีดอลล่าร์ที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ: จากข้อมูลการเคลื่อนไหวของ DXY รูปทางขวามือจะเห็นได้ว่าการขยับตัวของดอลล่าร์นั้น เริ่มมีการปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2024 ที่ผ่านมาและได้ทดสอบแนวต้านบริเวณ 104.7 2. ค่าเงินบาทอ่อนค่า: ค่าเงินบาทยังแสดงถึงแนวโน้มที่มีการอ่อนค่าของมูลค่าทางการเงิน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าของดอลลาร์ที่กลับมามีความแข็งแกร่งมากขึ้นหรือเมื่อตลาดการเงินอยู่ในสถานการณ์ปิดรับความเสี่ยง ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีแนวโน้มที่จะขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2024 ถึง 14 กุมภาพันธ์ 2024, มีการขายหุ้นไทยโดยนักลงทุนต่างชาติรวมเป็นจำนวนเงินกว่า 30,558.94 ล้านบาท
อัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายระยะยาว 2% และการเพิ่มขึ้นเดือนต่อเดือนก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดัชนี Core CPI (นอกจากอาหารและพลังงาน) สำหรับเดือนมกราคม 2024 อยู่ที่ 0.4% ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ที่ 0.3% และเพิ่มขึ้น 3.9% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยที่ดัชนีที่พักอาศัย (Shelter Index) เป็นปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการเพิ่มขึ้นของ Core CPI ดัชนีอื่นๆ เช่น ประกันภัยรถยนต์ กิจกรรมนันทนาการ การดูแลส่วนบุคคล และการรักษาพยาบาล ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดัชนีพลังงานลดลง 0.9% ในขณะที่ดัชนีอาหารเพิ่มขึ้น 2.6% จากปีที่แล้ว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ส่งผลให้ขณะนี้ตลาดมีการคาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 4 ครั้งในปี 2024 และมีความเป็นไปได้สูงที่ FED จะรักษาอัตราดอกเบี้ยให้คงที่ในการประชุม FOMC 2 ครั้งถัดไปในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม นอกจากนี้ระยะเวลาของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกถูกเลื่อนออกไปไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2024 ดังนั้นในระยะสั้นนักวิเคราะห์ยังมองว่าตลาดคริปโตฯ จึงมีโอกาสปรับฐานจากความไม่แน่นอนของเงินเฟ้อ ซึ่งก็อาจเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสมสำหรับเพราะในระยะยาวที่นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองบวกจากปัจจัยภายในหลายอย่างที่ยังเป็นบวก เช่น Bitcoin Halving, Bitcoin ETF Net Inflow เป็นต้น
ในเดือนกุมภาพันธ์ ภาพรวมตลาดคริปโตฯยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก Bitcoin ETF Net Inflow ที่เป็นบวกสูงสุด ถึงแม้จะปีปัจจัยลบกดดันตลาดอยู่บ้างจากอัตราเงินเฟ้อประกาศออกมาเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดก็ไม่ได้ทำให้ตลาดปรับตัวลงมากนัก สำหรับตลาด DeFi ภาพรวม DeFi TVL เพิ่มขึ้นมากว่า 20% เทียบกับเดือนที่ผ่านมา โดย เชน Solana ปรับเพิ่มมากที่สุดที่ 40% โดยถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในเชน Top 5 ถึงสองเดือนติด ซึ่งอาจเป็นเพราะกระแสการล่า Airdrop บนเชน Solana ที่ยังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนคริปโตฯ โดยนอกจากเชน Solana แล้ว เชนอย่าง Sui ก็มีการเติบโตของ TVL ที่น่าสนใจ โดยในเดือนที่ผ่านมามีการเติบโตมากถึง 80% คาดว่ามีสาเหตุมาจากการล่า Airdrop และการแจก Incentive บนแพลตฟอร์มต่างๆอย่างเช่น Scallop Lend, Navi Protocol เป็นต้น
ดังนั้น นักวิเคราะห์ยังคงมุมมองว่าปัจจัยที่ยังคงขับเคลื่อน DeFi ช่วงนี้ ก็คือการล่า Airdrop ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานบนเชน Layer 2 ต่างๆ เช่น zkSync, Scroll, Mantle, Linea เป็นต้น นอกจากนี้ อีกกลุ่มที่เป็นกระแสร้อนแรงก็คือ Modular Blockchain และ Restaking อย่างเช่น Celestia, Dymension, EigenLayer เป็นต้น
ปัจจัยบวกต่อไปที่น่าตลาดจับตามองก็คือ Dencun Upgrade ของ Ethereum ที่คาดว่าจะมาช่วงกลางเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบน Layer 2 ถูกลง ทำให้นักวิเคราะห์มองว่ากลุ่ม DeFi บน Ethereum และบรรดา Layer 2 จะได้รับประโยชน์เพิ่มเติม
Starknet เป็นโปรเจกต์ Layer 2 ที่จะมาช่วยเพิ่มประสินธิภาพการทำงานของ Ethereum โดยใช้เทคโนโลยี Zero-Knowledge proof (ZK-STARK) ที่สามารถรองรับธุรกรรมที่เยอะ และมีค่าธรรมเนียมที่ถูก
Starknet ได้เปิดให้ใช้งานมากว่า 2ปี จนตอนนี้ได้มีผู้ใช้งานกว่าล้านคน และเคยมี TVL สูงถึง $200m ซึ่งใน 12 เดือนที่ผ่านมา Starknet ecosystem เป็น ecosystem ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลกคริปโต และมี dApps มากมายมาสร้างบน Starknet
คาดการณ์ว่าเหรียญ $STRK จะมีการแจก Airdrop ให้กับผู้ใช้งานและจะเปิดตัวเหรียญเร็วๆนี้เพราะมีเหรียญ $STRK โผล่ขึ้นมาบนทุก Wallet และ dApps บน Starknet Ecosystem
นอกจากนั้น ArgentX ที่เป็น Wallet หลักบน Starknet ก็ได้ออกมาเขียน Guide วิธีการเคลมเหรียญ $STRK แล้วมีการบอกว่าเหรียญ $STRK จะมาเร็วๆนี้
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2024 Dymension ได้มีการแจกจ่าย Airdrop และเป็นอีกหนึ่งเหรียญที่เข้ามาช่วยจุดกระแสทางฝั่งของ Cosmos Ecosystem ให้เป็นที่จับตามองจากนักลงทุนมากยิ่งขึ้น ซึ่งนักลงทุนก็เริ่มมีการคาดการณ์ว่าถ้านำเหรียญ $DYM ไป Stake อาจจะได้รับ Airdrop จาก RollApps ต่างๆที่มาพัฒนาบน Dymension
ซึ่งในช่วง Testnet ก็ได้มีคนที่ไป Deploy เพื่อสร้าง RollApps กว่า 10,000 RollApps เลยทีเดียว ทำให้นักลงทุนเกร็งว่าถ้าหากเราเอาเหรียญ $DYM ไป Staked อาจจะได้ Airdrop จาก RollApps แต่แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ Airdrop จาก RollApps ทั้งหมดที่ Deploy บน Testnet เนื่องจากอาจจะมีคนทั่วไปลองใช้งานระบบเฉยๆโดยที่ไม่ได้ต้องการจะสร้าง RollApps บน Dymension จริงๆ
แต่ยอด Staked เหรียญ $DYM ในปัจจุบันก็ถือว่าสูงมากเช่นกัน หากเทียบกับสัดส่วนของ Circulating Supply ที่อยู่ในตลาด โดย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ราวๆ 61% จาก Circulating supply ไม่รวมกับส่วนของ VC ที่ไม่สามารถขายได้แล้วนำมา Stake
จุดนี้นักวิเคราะห์มองว่าการที่เหรียญหมุนเวียนอยู่ในตลาดน้อยลง จะส่งผลทำให้ราคาสูงอาจจะมีความผันผวนสูงได้
ERC404 ที่กำลังเป็นกระแสเป็นมาตรฐานใหม่ของ Token บนบล็อกเชนที่รวมเอาความเป็น Non-Fungible Token หรือ NFT ที่ใช้มาตรฐาน ERC721 กับ Fungible Token ที่ใช้มาตรฐาน ERC20 เข้าด้วยกัน โดยปัจจุบัน ERC404 ยังอยู่ในช่วงทดลองและกำลังพัฒนา
อย่างไรก็ตามการมาของ ERC404 ค่อนข้างสร้างกระแสและเป็นที่น่าจับตาพอสมควร เนื่องจากโปรเจกต์ Pandora ที่เป็น ERC404 ตัวแรกที่ผู้พัฒนาทำออกมาทดลองนั้นมีคนเข้ามาทั้ง ศึกษา ทดลองใช้และเก็งกำไรจนราคาของ $PANDORA ปรับตัวขึ้นเกือบ 100 เท่าในเวลาเพียงไม่กี่วัน
หลักการทำงานแบบคร่าวๆ ของ ERC404 มีดังนี้
การมาของมาตรฐานนี้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับ NFT นั้นๆ ให้สามารถซื้อง่ายขายคล่องโดยไม่จำเป็นต้องขายเป็นชิ้นทั้งหมดเหมือนแต่ก่อนเนื่องจากสามารถขายแค่บางส่วนเป็นโทเคนได้นั่นเอง ซึ่งน่าติดตามว่ามาตรฐานนี้จะมาเปลี่ยนโลก NFT ได้มากน้อยแค่ไหน
*ERC404 เป็นมาตรฐานใหม่ที่ถูกพัฒนาโดยทีม Pandora เท่านั้น ไม่ได้ถูกพัฒนาโดยทีม Ethereum Foundation
ผลตอบแทนที่ได้จากพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นสหรัฐ (Treasury Bills) แบบระยะสั้น 3 เดือน ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่มีสภาพคล่องและผลตอบแทนสูง ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนสูงขึ้นต่อเนื่องจากความกังวล Recession โดยปัจจุบันผลตอบแทนทรงๆตัว ตอนนี้อยู่เฉลี่ยปีละ 5.24% ส่วนผลตอบแทนจากการฟาร์มหรือปล่อยกู้ Stablecoin บนแพลตฟอร์มต่างๆในช่วงนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยลดลงจากเดือนก่อนเล็กน้อยอยู่ที่ 7.58 %
โดยผลตอบแทนฟาร์มและปล่อยกู้ Stablecoin ในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้นมาจากเดือนก่อนๆในปีที่แล้วอย่างมีนัยสำคัญ เป็นเพราะว่าสภาวะตลาด คริปโตฯ และ DeFi กลับมาคึกคักมากขึ้น ทำให้ธุรกรรมซื้อขายแลกเปลี่ยนและราคาเหรียญที่แจกเป็น Incentive เพิ่มขึ้น
หนึ่งเหตุผลอาจจะเป็นเพราะความ Hype ในช่วงที่ผ่านมาถึงจุดอิ่มตัว ประกอบกับ Narrative ใหม่บน Ethereum ว่าด้วยเรื่องของ ERC-404 อย่าง Pandora ซึ่งดึงดูดสายตานักเทรด NFT ให้ตามกันเข้าไป ทำให้ Volume ของ NFT บน Ethereum พุ่งเป็นอันดับ 1 ในบรรดาเชนต่างๆอีกครั้ง
Pudgy Penguin เป็นหนึ่งใน Top Collection ที่เรียกว่ามาแรงมากใน Cycle นี้ จะราคาไม่ถึง 10 ETH ในช่วงเดือนก่อน ปัจจุบันมาถึง 20 ETH แล้ว
สิ่งเหล่านี้เกิดจากความเข้มแข็งของ Community การนำไปพัฒนาต่อยอด ทำให้เริ่มถูกเล็งเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกมองว่าเป็น Blue Chips ใหม่ของ Cycle นี้