MicroStrategy จุดกระแสการซื้อ Bitcoin เข้าเป็น Treasury ของบริษัท แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า มีบริษัท Metaplanet จากญี่ปุ่นที่กำลังเร่งสะสม Bitcoin และเพิ่งก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทมหาชนที่ถือ Bitcoin มากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียวได้เก็บ Bitcoin สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,545 BTC
ล่าสุดถือมากกว่า 12,000 BTC ทำให้หุ้นบริษัทพุ่งมากกว่า 2,000% ภายใน 1 ปี
โดยยังตั้งเป้าถือ BTC จำนวน 30K ภายใน 2025 และ 100K ภายใน 2026
และเบื้องหลังของทั้งหมดนี้คือ CEO อย่าง Simon Gerovich ผู้ที่เป็นทั้ง
จึงเรียกได้ว่า Metaplanet ไม่ใช่แค่บริษัทที่กำลังเก็บ Bitcoin แต่คือบริษัทที่มี Network และ Vision ที่จะช่วยขับเคลื่อนอนาคตของ Bitcoin ได้ด้วย
บทความนี้เราจะพาไปดูว่ากลยุทธ์ของ Metaplanet ทำยังไง ต่างกับ Microstrategy ยังไง และคาดว่าจะส่งผลอะไรกับ Bitcoin บ้าง
Metaplanet คือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นโตเกียว (Ticker = 3350.T) ที่เดิมทำธุรกิจโรงแรม ก่อน Pivot สู่ Bitcoin-native public company เต็มตัวในปี 2024
แต่ Metaplanet ไม่ได้แค่ซื้อ BTC แต่ยังสร้างรายได้จาก BTC ที่ถืออยู่ด้วย
Metaplanet ไม่ได้รอทุ่มซื้อก้อนใหญ่แบบ Strategy แต่ตั้งระบบซื้อ BTC ทุกวันในปริมาณทเท่าๆกัน
→ ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา
→ ทำให้บริษัทเก็บสะสม BTC ได้อย่างต่อเนื่อง
Metaplanet เลือกออกตราสารหนี้แบบไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย (Zero-Coupon Bond) และหุ้นพิเศษที่ออกเมื่อราคาขึ้น (Moving Strike Warrant)
*MS Warrant คือหุ้นพิเศษที่บริษัทมีสิทธิจะออกเพิ่มได้เมื่อราคาหุ้นพุ่งขึ้นเกินจุดที่กำหนด คล้ายกับการ “จองสิทธิซื้อหุ้นในอนาคต” แต่บริษัทได้เงินล่วงหน้ามาใช้ก่อน
✅ สำหรับ Metaplanet:
✅ สำหรับนักลงทุน:
นอกจากถือ BTC เฉย ๆ บริษัทยังสร้างรายได้เพิ่ม จากการขายสัญญา Option บน Bitcoin
ทำให้ BTC ที่ถืออยู่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ โดยรายได้ส่วนนี้เอามาซื้อ BTC เพิ่มอีก (หมุนต่อได้)
Metaplanet ใช้ตัวชี้วัดพิเศษชื่อว่า BTC Yield ที่วัดว่าแต่ละหุ้นมี Bitcoin เพิ่มขึ้นแค่ไหน หลังจากคำนวณปรับลดหุ้นทั้งหมดแล้ว (Diluted Share)
โดยใน Q1/2025:
ตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่ดูว่าได้กำไรเป็นเงินเท่าไร แต่บอกว่าบริษัทสามารถเพิ่มจำนวน BTC ให้กับผู้ถือหุ้นแต่ละรายได้แค่ไหน
BTC Yield สะท้อนทั้ง “การสะสม” และ “กลยุทธ์ทางทุน”
→ การเพิ่มทุนต้องนำไปซื้อ BTC ได้มากกว่าการ Dilute ของหุ้น
→ ถ้าทำได้ BTC Yield จะเพิ่มขึ้น
→ ถ้าทำไม่ได้ BTC Yield จะลดลง
แนวทางนี้คล้ายกับที่ MicroStrategy เคยเริ่มไว้ แต่ Metaplanet ปรับใช้ให้เข้ากับบริษัทของตลาดทุนฝั่ง Asia
ล่าสุด Metaplanet ถือครบ 12,345 BTC
→ คิดเป็น ~1,641 sats ต่อหุ้น
→ เทียบกับก่อนหน้า ~1,037 sats ในเดือนพฤษภาคม ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า +50% ภายในเวลาเร็วมาก
หลายคนรู้ว่า MicroStrategy ถือ BTC มากที่สุดในโลกในนามบริษัท แต่ถ้าดู “ความเร็วในการเพิ่ม BTC ต่อหุ้น” Metaplanet ทำได้เร็วกว่าหลายเท่า
📌 MicroStrategy ถ้าจะเพิ่ม BTC-per-share +50% แบบเดียวกับ Metaplanet
→ ต้องซื้อเพิ่ม ~277,000 BTC
→ ใช้เงินประมาณ $29,000 ล้าน (ถ้า BTC อยู่แถว $105K)
📌 ส่วน Metaplanet ที่ทำได้แล้ว
→ เพิ่ม BTC-per-share +50% ภายในไม่กี่เดือน
→ ใช้ BTC แค่ ~4,445 เหรียญ
→ ใช้ทุนไม่ถึง $100 ล้าน
Metaplanet เน้นกลยุทธ์ถือ BTC แบบคุ้มค่า ไม่ได้เน้นปริมาณ แต่ต้องการเพิ่ม BTC-per-share ให้เร็วที่สุด โดยไม่ dilute ผู้ถือหุ้นเก่า
ด้วยความได้เปรียบของ Metaplanet ทำให้ถ้า Bitcoin พุ่งถึง $150,000? Metaplanet: ราคาหุ้นอาจโต 4.5 เท่า ส่วน MSTR อาจโตประมาณ 3 เท่า*
*คำนวณจาก scenario analysis โดยเทียบ BTC-per-share และ Market Cap ของแต่ละบริษัท
ราคาหุ้นของ Metaplanet ที่ซื้อขายสูงกว่ามูลค่าของ Bitcoin ที่บริษัทถืออยู่จริง เป็นเพราะนักลงทุนให้ "Premium" กับโมเดลธุรกิจที่เน้นการเพิ่ม BTC-per-share อย่างยั่งยืน จุดที่ทำให้ตลาดให้คุณค่าสูง เช่น บริษัทมี BTC Yield จริงที่สามารถซื้อ BTC เพิ่มได้ต่อเนื่อง, ไม่มีหนี้สินและไม่มีการออกหุ้นพิเศษที่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมถูก dilute, สภาพคล่องของหุ้นสูงจนติด Top 3 หุ้นที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาดญี่ปุ่น และยังถูกบรรจุอยู่ในหลาย ETF และดัชนีสำคัญ นักลงทุนทั่วโลกจึงมอง Metaplanet ไม่ใช่แค่หุ้นที่สะท้อนราคา Bitcoin แต่เป็น Growth Stock แบบ BTC-native อย่างแท้จริง
ถึง Metaplanet จะมีจุดเด่นเรื่องความเร็วและทุนต่ำ แต่การเดินเกมแบบ “all-in กับ Bitcoin” ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง
• ราคาหุ้นผันผวนตามราคา BTC → นักลงทุนหุ้นต้องรับ Volatility แบบเดียวกับคริปโต
• อัตรา short หุ้นสูงมากกว่า 23% อาจสะท้อนความกังวลว่าโมเดลธุรกิจจะไปต่อไม่ได้หรือราคาหุ้นร้อนแรงเกินพื้นฐาน
• การใช้ MS Warrant และตราสารหนี้ช่วยระดมทุนได้เร็วก็จริง แต่ถ้าราคาหุ้นไม่ไปต่อ อาจออกหุ้นเพิ่มไม่ได้ และแผนสะสม BTC สะดุด
• ความเสี่ยงจากการ Hedge → รายได้จากการขาย Option อาจเจอ Loss ได้ ถ้าตลาดกลับตัวแรง
• Regulatory risk → ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนท่าทีต่อการถือ BTC หรือภาษี อาจกระทบโดยตรง
Metaplanet อาจกลายเป็น “ต้นแบบ” ให้บริษัทมหาชนทั่วเอเชียวาง BTC ลงบนงบดุล
→ เพิ่มโอกาสให้คนทั่วไปลงทุนใน Bitcoin ผ่านหุ้นจดทะเบียน โดยไม่ต้องถือ BTC ตรง
โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ที่การซื้อ BTC ตรงเจอภาษีสูงสุดถึง 55% แต่ถ้าซื้อหุ้น Metaplanet จะเสียภาษีแค่ 20% (capital gains) หรือ 0% ถ้าซื้อผ่านบัญชี NISA
Metaplanet จะกลายเป็นช่องทางที่ถูกกฎหมาย ประหยัดภาษี และสะดวกที่สุดในการถือ Bitcoin ในญี่ปุ่น ซึ่งถ้าโมเดลนี้เวิร์ก จะเกิด Demand ฝั่ง Equity เพิ่มขึ้น ทั้งจากบริษัทมหาชนที่อยากถือ BTC
และนักลงทุนรายย่อยที่อยากได้ Exposure แบบไม่ต้องถือคริปโตเอง
→ เท่ากับขยายฐานผู้ถือ Bitcoin โดยไม่ต้องพึ่งตลาดคริปโตโดยตรง
→ และสร้าง “buy pressure” ให้ BTC ต่อเนื่อง
Metaplanet ไม่ใช่แค่บริษัทมหาชนที่ถือ Bitcoin แต่กำลังสร้างต้นแบบใหม่สำหรับ “Bitcoin-first company” ที่เน้นการสะสม BTC-per-share อย่างมีประสิทธิภาพ
📌 BTC Yield พุ่ง 170% ในไตรมาสเดียว สะท้อนกลยุทธ์ที่สร้างกำไรได้เร็ว
📌 สร้าง Playbook ที่ใช้ได้จริงในตลาดเอเชีย พร้อมแบ่งให้บริษัทในเอเชียอื่นที่สนใจผ่านเวที Bitcoin For Corporations (BFC)
เป็นส่วนหนึ่งของ Trend ใหญ่: ข้อมูลจาก Bitwise ระบุว่ามี 134 บริษัททั่วโลกวาง BTC ลงงบดุลแล้ว เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี 2024
Metaplanet กำลังพิสูจน์ว่า Bitcoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์ที่ใช้ HODL แต่คือระบบการสร้างกำไรใหม่ให้บริษัท