BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ยื่นขอเปิด Bitcoin ETF กับ SEC ของสหรัฐในชื่อ “iShare Bitcoin Trust” เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา ท่ามกลางความคลุมเครือในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่ทาง SEC ได้เดินหน้าฟ้อง Binance US, CZ และ Coinbase ในช่วงอาทิตย์ก่อนหน้านั้น
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Binance US และ Coinbase จะรอดหรือไม่หลังโดน ก.ล.ต.สหรัฐฟ้องพร้อมกันในวันเดียว และ 3 เหตุผลที่ ก.ล.ต. สหรัฐ เอาจริงในการฟ้อง Binance และ Coinbase
แต่ก่อนจะไปพูดถึงแนวโน้มที่เป็นไปได้จากการยื่นขอ Bitcoin ETF ของ BlackRock ก็ต้องพาไปทำความรู้จัก ETF และ iShares กันก่อนเพื่อที่จะได้เห็นภาพมากขึ้นสำหรับคนที่ไม่ทราบรายละเอียดมาก่อน
ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีแนวทางการลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ โดยต้องการให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด ซึ่งความพิเศษของ ETF คือ เป็นกองทุนรวมดัชนีที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้แบบ Real time เหมือนหุ้น โดยไม่ต้องรอปิดวันเหมือนกองทุนรวม
iShares เป็นแบรนด์ ETF ของ BlackRock ที่เป็นบริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนี้ที่มี Asset Under Management (AUM) มากกว่า 9 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ($9 Trillion) ซึ่ง ETF ที่อยู่ภายใต้ iShares นี้มีทั้งหมด 386 ETFs ในตลาด US โดยคิดเป็นมูลค่าทั้งหมดที่ราวๆ $2.4 Trillion (Source: etf.com/topics/ishares )
iShares ถือว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ ETF ที่ผู้คนยอมรับและได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของโลก โดยในปัจจุบันนี้ iShare มี Market Share มากที่สุด ตามมาด้วย Vanguard และ State Street
ข้อมูลจาก Nasdaq รายงานว่าใน Q4/2022 นั้น iShare มีปริมาณการซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยใน
ทำให้โดยรวมๆ แล้ว ETF เฉพาะของ iShares มีปริมาณการเทรดต่อวันที่ $43.63 billion ซึ่งมากกว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในตอนนี้เสียอีก
จากชื่อ iShares Bitcoin Trust แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าจะเป็นลักษณะกอง Trust แบบของ Grayscale ที่มีปัญหาเรื่องการไถ่ถอนและตอนนี้ถูกซื้อขายที่ราคา Discount ที่ประมาณ -36%
จากรายละเอียดของเอกสารที่ยื่นต่อ กลต. สหรัฐจะเป็นการยื่นแบบกอง Trust ก็จริง แต่เป็นกอง Trust แบบไถ่ถอนได้ ซึ่งจะทำให้กอง Trust นี้ทำงานคล้ายกับ ETF ซึ่ง Bitcoin ที่อยู่ในกอง Trust จะถูกถือโดย Custodian ซึ่ง Custodian ที่ว่านี้ก็คือ Coinbase Custody เป็นผู้ดูแล
ก่อนหน้านี้ Grayscale, VanEck, WisdomTree ก็เคยยื่นขอ Bitcoin Spot ETF กับ SEC แต่ก็โดนปัดตกมาตลอดด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ แต่กับ iShares ที่เคยยื่นขอเปิด ETF ไปหลายร้อยตัวกับ SEC นั้นแทบไม่เคยโดน SEC ปัดตกเลย โดยอัตราการยื่นผ่านของ iShares นั้นอยู่ที่ 99.98% (ยื่น 575 ตัว ไม่ผ่านแค่ 1 ตัว)
แต่จากอัตราการสำเร็จที่กล่าวมาก็เป็นไปได้สูงว่า BlackRock จะสามารถยื่นผ่านได้อย่างไม่ยากเย็น อีกทั้ง BlackRock ที่เป็นบริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วย AUM กว่า $9 Trillion นั้นคงมีอำนาจต่อรองกับทางรัฐบาลหรือ SEC ค่อนข้างมากไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม รวมถึงตัว Larry Fink ที่เป็น CEO ก็มี Political Power ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
อีกหนึ่งเหตุผลก็คือเมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2022 ทาง BlackRock ก็ได้มีการร่วมมือกับ Coinbase ในการให้บริการลูกค้าสถาบันในแพลตฟอร์ม Aladdin ของ BlackRock ที่จะทำให้ลูกค้าของพวกเขาสามารถเข้าถึงคริปโทฯ ผ่าน Coinbase Prime ได้โดยตรง
ซึ่งการที่ SEC หรือทาง Gary เข้ามาเล่นงาน Coinbase และ Binance US เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้ก็คงทำให้ BlackRock หงุดหงิดไม่ใช่น้อย เพราะต้องอย่าลืมว่าการ Process ก่อนที่จะนำเอกสารมายื่นต่อ SEC ได้ก็ต้องใช้เวลาเตรียมการค่อนข้างนานในการจัดเตรียม แล้วอยู่ดีๆ SEC มาเล่นงาน Partner ของตัวเองในสหรัฐนั้นก็คงแปลกไปหน่อย ทำให้การยื่นขอ Bitcoin ETF ในตอนนี้พร้อมกับให้ Coinbase Custody เป็นผู้ดูแลสินทรัพย์ก็อาจเป็นเหมือนการส่งสัญญาณอะไรบางอย่างให้ SEC
อีกทั้งตัว SEC ที่ไม่เคยกล่าวถึง Bitcoin ว่าเป็นหลักทรัพย์ ดังนั้นการที่ SEC จะไม่อนุมัติก็ต้องหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมากพอที่จะมาปฏิเสธ BlackRock ที่เป็นพี่ใหญ่ในวงการการเงินให้ได้ ในตอนนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่น่าติดตามดูอย่างยิ่งว่า SEC จะกล้าปฏิเสธหรือไม่ ทำให้หลายกองทุนที่เคยยื่นขอแล้วปฏิเสธอย่าง BitWise, Investco และ WisdomTree ก็จะขอยื่นใหม่อีกครั้งหลังจากเห็น BlackRock ยื่นเพราะถ้า SEC ให้ผ่านก็จะทำให้ของการยื่นของตัวเองที่เคยโดนปัดตกก็มีโอกาสผ่านสูงมากเช่นกัน
จากอัตราการยื่น ETF สำเร็จของ BlackRock และเหตุผลอื่นๆ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ทางเรามองว่าในช่วงนี้อาจเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเริ่มเข้าสะสม Bitcoin เนื่องจากจะเป็นจุดที่มี Risk/Reward ที่ค่อนข้างดีมากกว่าตอนที่ iShare Bitcoin Trust ถูกอนุมัติจาก SEC ของสหรัฐเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่ ETF ของผู้เล่นรายใหญ่อย่าง BlackRock ผ่าน ทางเราคาดว่าจะเป็นจุดที่ช้าเกินกว่าที่จะเรียกว่า Early เพราะอาจถูก Front Run จาก Insider หรืออะไรก็แล้วแต่ ก่อนการประกาศอย่างเป็นทางการ
และหลังจากนั้นก็มีแนวโน้มว่านักลงทุนสถาบันต่างๆ ก็จะทยอยแบ่ง AUM เข้ามาที่ Bitcoin ETF นี้ได้โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่อง Regulation อีกแล้ว และนักลงทุนไม่ว่าจะรายใหญ่หรือรายย่อยก็สามารถเข้าถึง Bitcoin ได้ง่ายขึ้นด้วย ทำให้การพิจารณาเข้าหลังจากตอนนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ Risk/Reward ไม่ได้ดีเท่าช่วงนี้นั่นเอง
นอกจากนี้การยื่น Bitcoin ETF ของ BlackRock ได้แสดงให้เห็นถึงมุมมองของพวกเขาเองด้วยว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์ที่พวกเขาให้การยอมรับและจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่จะถูกแนะนำให้นักลงทุนของพวกเขา
ซึ่งโดยปกติ Registered Investment Advisor (RIA) มักจะแนะนำให้ลูกค้าถือทอง 5% ของ Portfolio ดังนั้นถ้า Bitcoin ETF ผ่าน แล้วมีการ Allocate เงินบางส่วนมาสัก 1-2% ก็เป็นเม็ดเงินที่มหาศาลแล้ว เพราะถ้าคิดจาก AUM รวมของ BlackRock ที่มี AUM กว่า $9 Trillion ก็เป็นเงินมากกว่า 90,000 - 180,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16.5% - 33% ของ Marketcap ของ Bitcoin ในขณะที่เขียน)
แน่นอนว่าจะทำให้มุมมองของผู้คนต่อ Bitcoin เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เคยเข้ามาและออกจากตลาดไปด้วยความไม่เข้าใจและคนที่ไม่เคยสนใจ Bitcoin มาก่อน โดยทางเรามองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะมี Impact มากกว่าตอน Microstrategy และ Tesla เข้าซื้อ Bitcoin เสียอีก และนั่นหมายความว่า Bull Run ในครั้งหน้าก็อาจจะผันผวนได้มากกว่าที่เราคิด
อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการบริหารความเสี่ยงไว้ด้วยว่าถ้า BlackRock โดนปฏิเสธหรือกระบวณการล่าช้าเกินไปทำให้ตลาดเปลี่ยนมุมมองก็อาจทำให้ตลาดเกิดการ Correction จากความคาดหวังที่สูงในช่วงที่อยู่ระหว่างกระบวณการพิจารณา
นอกจากข่าวของทาง BlackRock ที่เป็นบริษัทจัดการสินทรัพย์อันดับหนึ่งของโลกแล้ว ในวันที่ 20 มิถุนายน 2023 ก็ยังมี “ข่าวลือ” ที่ Fidelity บริษัทจัดการสินทรัพย์อันดับ 3 ของโลกจะทำการยื่นเข้าซื้อ Grayscale ของ Digital Currency Group และจะยื่นขอ Bitcoin Spot ETF กับ SEC เช่นเดียวกับ BlackRock โดยเมื่อมีข่าวลือออกมา NAV ของ GBTC ก็ขึ้นมาจาก Discount ที่ประมาณ 43% ขึ้นมาที่ 36% ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
มากไปกว่านั้นยังมีข่าวจริงที่ออกมาในวันเดียวกันก็คือเรื่องของการเปิดให้บริการของ EDX Market (EDXM) ที่เป็น Crypto Exchange น้องใหม่ที่มีเจ้าใหญ่ใน Traditional Finance ให้การสนับสนุนหลากหลายเจ้าไม่ว่าจะเป็น Charles Schwab(SCHW), Citadel Securities, Fidelity Digital Assets, Paradigm, Sequoia Capital และ Virtu Financial
โดยจริงๆ แล้วข่าวการจัดตั้ง EDX Market ก็มีมาตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนปี 2022 แต่วันอังคารที่ 20 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมานี้เป็นการเปิดให้ซื้อขายแล้วเรียบร้อย โดยในเบื้องต้นจะมีแค่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH), Litecoin (LTC) และ Bitcoin Cash (BCH) ให้ซื้อขายเท่านั้น
และยังไม่หมดเพียงเท่านี้เพราะทาง Deutsche Bank ก็พึ่งยื่นขอ Digital Asset License กับทางหน่วยงานกำกับดูแลของเยอรมันวันเดียวกัน และ Nasdaq เองที่เคยมีข่าวในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2023 ว่าจะมีการทำบริการ Crypto Custody โดยเล็งว่าจะเปิดให้บริการในช่วง Q2/2023 ก็อาจจะกำลังตามมาในเร็วๆ นี้ก็ได้
และแถมให้อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือการเข้าซื้อหุ้น Microstrategy (MSTR) ของสถาบันการเงินต่างๆ ที่ทั้งเกี่ยวและไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวต่างๆ ในโลกคริปโทฯ ที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้านี้ โดยจากข้อมูลของทาง CNN Business จะเห็นว่าสถาบันการเงินใหญ่ๆ ได้เข้าซื้อหุ้นของ MSTR อยู่เรื่อยๆ และมีสัดส่วนการลงทุนไม่น้อยเลย ซึ่งถ้าหากสถาบันการเงินเหล่านี้มองว่า Bitcoin ไร้ค่าและไม่เห็นด้วยกับการเดินหน้าซื้อ Bitcoin ของ Microstrategy แล้ว พวกเขาก็คงถอนการลงทุนไปหมดแล้ว
ซึ่งสาเหตุของการเข้าซื้อดังกล่าว ส่วนหนึ่งก็อาจมองได้ว่าสถาบันการเงินเหล่านี้ต้องการมี Exposure ใน Bitcoin แต่ไม่สามารถซื้อตรงๆ ได้ก็เลยหันมาซื้อหุ้น MSTR แทนเพราะหากนำกราฟของ Bitcoin และ MSTR มาเทียบกันจะเห็นได้ว่ามีการเคลื่อนไหวทางราคาที่สอดคล้องกันอย่างมาก ทำให้การถือ MSTR เหมือนเป็นการถือ Bitcoin ทางอ้อมนั่นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมด หากมองในภาพรวมจะเห็นว่าผู้เล่นทางฝั่ง Traditional จริงจังและมั่นใจมากกับการเข้ามาในโลกของ Digital Asset ซึ่งตรงข้ามกับ SEC ที่จ้องจะเล่นงานคริปโทฯ ทำให้มีเสียงวิพากย์วิจารณ์ Gary Gensler และ SEC กันอย่างหนัก
การเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ได้กล่าวไปในบทความนี้ชี้ให้เห็นว่าความต้องการของ Traditional Finance นั้นดูแล้วจะไม่ได้อยู่ข้าง SEC และ Gary Gensler ทำให้หากต้องสู้กันในชั้นศาลหรือใช้อำนาจอิทธิพลแล้ว ทางเรามองว่าอำนาจของทางฝั่งสถาบันการเงินน่าจะมีน้ำหนักมากกว่า แถมสิ่งที่ Gary Gensler กำลังทำอยู่ตอนนี้ก็ดูไม่มีเหตุผลรองรับและขัดกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูดมากก่อนหน้านี้ด้วย
ทำให้แนวโน้มของการที่ SEC จะอนุมัติ iShares Bitcoin Trust ของ BlackRock ก็มีโอกาสสูงมาก และการเคลื่อนไหวต่างๆ ของเจ้าใหญ่ในโลก Traditional เหล่านี้ก็สามารถบ่งบอกถึงมุมมองของพวกเขาได้ดีว่าพวกเขามอง Bitcoin อย่างไร
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยบวกต่อ Bitcoin อย่างมากทั้งในปัจจุบันอนาคตและทำให้ในตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่ในการเก็บ Bitcoin เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าไปหากพิจารณาเก็บหลังจากทุกอย่างถูกประกาศอย่างเป็นทางการก็อาจจะสายเกินไปแล้ว