Monad จัดเป็นอีกโปรเจกต์ที่ถูกพูดถึงกันค่อนข้างมากในโลกคริปโตฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกระแสของ Parallelized Execution ที่เน้นการยกระดับ Throughput และลดเวลาในการประมวลผล และยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นอีกจากการที่โปรเจกต์ระดมทุนรวมได้มากกว่า 244 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะเป็นอันดับต้น ๆ ของการระดมทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2025 Monad ได้เปิดตัว Testnet อย่างเป็นทางการ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของโปรเจกต์ นอกจากนี้ทางโปรเจกต์มีแผนกำลังจะเปิด Mainnet ในช่วงเดือนกันยายนนี้ (รอประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการ)
ในบทความนี้ เราจะพาไป เจาะลึกว่า Monad คืออะไร ทำงานอย่างไร และอะไรที่ทำให้โปรเจกต์นี้โดดเด่น จนทำให้หลายคนกำลังจับตามองในปี 2025 เป็นอย่างมาก
Monad Labs ได้ระดมทุนรวมเป็นมูลค่า $244 ล้านดอลลาร์จากรอบต่างๆดังนี้
- รอบ Seed Round (14 กุมภาพันธ์ 2023): ระดมทุนได้ $19 ล้านดอลลาร์ นำโดย Dragonfly Capital, Placeholder, Lemniscap และ Naval Ravikant
- รอบ Series A (9 เมษายน 2024): ได้รับเงินทุนเพิ่มอีก $225 ล้านดอลลาร์ นำโดย Paradigm, Electric Capital, Greenoaks และอื่น ๆ ซึ่งจำนวนเงิน 225 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ทาง Monad ระดมทุนได้ภายในรอบเดียวนั้นถือว่าเยอะมาก
ในเบื้องต้นนั้น Monad ก็คือบล็อกเชน Proof-of-Stake Layer 1 ที่เป็น EVM-Compatible อีกหนึ่งตัว ซึ่งการที่มันเป็น EVM-Compatible นั้นหมายถึงว่าบล็อกเชนนั้นๆ สามารถเข้ากับ EVM (Ethereum Virtual Machine) จึงรองรับ Tool ต่างๆที่ใช้งานบนเชน Ethereum ได้ทั้งหมด ทำให้การที่นักพัฒนาจาก Ethereum จะย้ายมาใช้นั้นสามารถทำได้แบบง่ายๆ ทำให้ในมุมของทั้งนักพัฒนาและผู้ใช้งานไม่ต้องยุ่งยากในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ที่คุ้นเคยจากฝั่ง Ethereum ยกตัวอย่างเช่น
อย่างไรก็ตามบล็อกเชนที่เป็น EVM-Compatible นั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะว่าที่ผ่านมาก็มีบล็อกเชน Layer 1 ที่เป็น EVM-Compatible หลายตัวที่เปิดตัวออกมาตั้งแต่ Cycle ที่แล้วนับแต่ปี 2020 เช่น Avalanche, BNB Chain, Polygon, Fantom เป็นต้น
โดยทางผู้ก่อตั้งของ Monad กล่าวว่าสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจออกมาสร้าง Monad ก็คือไม่ได้ต้องการจะสร้าง EVM-Compatible อีกตัวหนึ่งที่เหมือนๆกับที่มีอยู่แล้ว แต่มีความต้องการที่จะสร้างบล็อกเชนที่เป็น Super High-Performance, Super Scaling ที่มีความเร็วสูงพิเศษและมีค่าธรรมเนียมการธุรกรรมที่ถูกมาก ซึ่งถ้าเป็น EVM ทั่วไปนั้้น การประมลผลธุรกรรมจะทำได้แค่หนึ่งธุรกรรมตามลำดับที่ถูกส่งเข้ามา จึงเป็นข้อจำกัดที่ทำให้บล็อคเชนเหล่านี้เกิดค่าธรรมเนียมพุ่งสูงและเวลาการประมวลผลที่ช้าในเวลาที่การทำธุรกรรมบนเชนมีความหนาแน่นมากๆได้
ดังนั้น Monad จึงตัดสินใจพัฒนา Parallel Execution ที่รองรับ EVM เพรามองว่า TVL ส่วนใหญ่ยังอยู่ฝั่ง EVM และ Parallel Execution จะทำให้สามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากพร้อมๆกันได้ ซึ่งแก้ปัญหาเรื่อง Scalability ได้เป็นอย่างดี ซึ่งทางผู้ก่อตั้งกล่าวว่ามีแรงบันดาลใจมาจาก Solana VM ที่เป็นผู้บุกเบิกการใช้หลักการ Parallel Processing เช่นเดียวกัน ตัวอย่างอื่นๆในการทำ Parallel Processing เช่น Full Sharding ที่อยู่ใน Roadmap ระยะยาวของ Ethereum ที่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพัฒนา
บล็อกเชนที่ใช้ EVM ทั้งหมด เช่น Ethereum, BNB Chain มีจุดอ่อนเดียวกันคือใช้การประมวลผลแบบลำดับ (Sequential Execution) ซึ่งหมายความว่าบล็อคเชน EVM จะสามารถดำเนินการได้เพียงหนึ่งธุรกรรมต่อครั้งเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นธุรกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
นักพัฒนาต่างมองเห็นปัญหาคอขวดนี้ และพยายามแก้ไขด้วยการพัฒนา Parallel Execution หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือ Solana ที่นำเสนอระบบ Sealevel ซึ่งช่วยให้สามารถประมวลผลธุรกรรมแบบขนานได้ ทำให้ Solana สามารถรองรับความเร็ว 500–1000 TPS (Solana ใช้ Virtual Machine (VM) ของตัวเอง)
แน่นอนว่า Monad ไม่ได้เป็นโปรเจกต์ Parallelized EVM ตัวแรก โดย Parallized EVM ตัวอื่นๆที่เปิดตัว Mainnet ไปก่อนแล้ว เช่น Eclipse, Neon (Parallelized EVM บน Solana), Sei Network เป็นต้น ที่ได้รับกระแสความสนใจไม่แพ้ Monad ในช่วงที่ผ่านมา
ซึ่ง Sei Network ได้เปิดตัวไปในช่วงเดือนสิงหาคม 2023 และก็ได้มีการเติบโตของ TVL และ Volume อย่างต่อเนื่อง โดย Total Value Locked (TVL) มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ TVL ของ Sei ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากราว 270 ล้านดอลลาร์ในต้นปี 2024 ไปสู่ระดับสูงสุดที่กว่า 930 ล้านดอลลาร์ในกลางปี 2025 ส่วนราคาเหรียญ SEI ก็พุ่งจากราว 0.23 ดอลลาร์ในช่วงเดือนธันวาคม 2023 ไปทำจุดสูงสุดที่ 1.14 ดอลลาร์ ในเดือนมีนาคม 2024 (ปัจจุบันราคา $0.28 ณ วันที่ 3 กันยายน 2025)
ในช่วงปลายปี 2023 ถึงต้นปี 2024 Neon EVM ได้มีการเติบโตที่น่าสนใจ โดย ราคาเหรียญ NEON พุ่งขึ้นจากประมาณ 0.4 ดอลลาร์ไปสู่จุดสูงสุดที่ 3.91 ดอลลาร์ ในเดือนมกราคม 2024 ขณะที่ Total Value Locked (TVL) ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากราว 2.7 ล้านดอลลาร์ในเดือนธันวาคม 2023 ไปถึงจุดสูงสุดที่กว่า 300 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากช่วงเวลาดังกล่าว ราคาและ TVL ได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ข้อมูล ณ ปัจจุบันแสดงให้เห็นว่า TVL ของ Neon อยู่ที่ประมาณ 234,086 ดอลลาร์ และ ราคาเหรียญ NEON อยู่ที่ราว 0.12 ดอลลาร์ การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้ตลาดจะให้ความสนใจกับเทคโนโลยี Parallelized EVM แต่การเติบโตและการรักษาฐานผู้ใช้ในระยะยาวก็ยังคงเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับโปรเจกต์เหล่านี้
ส่วนในเรื่องของเทคโนโลยีหลังบ้าน ถ้าเทียบระหว่าง Monad กับ Sei Network, Elipse และ Neon แล้วนั้น จะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ซึ่ง Neon และ Eclipse จะมีความคล้ายกันด้วยความที่ใช้ SVM ของฝั่ง Solana โดยความแตกต่างคือ Neon จะเป็น Smart Contract ที่สร้างบน Solana และมี Settlement Layer เป็น Solana ส่วน Eclipse จัดเป็น Ethereum Layer 2 ที่สร้างบน Ethereum ที่มี Ethereum เป็น Settlement Layer โดยในอนาคตทาง Elicpse ก็มีแผนที่จะ Integrate กับ Neon เพื่อทำให้เป็น EVM-Compatible แบบสมบูรณ์
ส่วน Sei จะมีความคล้ายกับ Monad ค่อนข้างมาก ซึ่งความแตกต่างหลักระหว่าง Monad กับ Sei ก็คือว่า Sei สร้างขึ้นบน Cosmos SDK ส่วน Monad นั้นเป็น PoS ของตัวเองเลย ซึ่งทำให้ความแตกต่างหลักก็คือว่า Monad นั้นสามารถ Customize ได้มากกว่า ซึ่งทาง Monad เองก็บอกว่าวิสัยทัศน์ของทางโปรเจกต์คือต้องการ Customize และ Optimize ให้มากที่สุดเพื่อทำให้เชนมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเราจะพูดถึงในพาร์ทถัดๆไปว่าหัวใจหลักของการทำงาน Monad มีอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูเทียบประสิทธิภาพจากตัวเลขตามตารางด้านบน เช่น TPS, Block Time นั้น จะเห็นว่า Sei นั้นทำได้ดีที่สุด ส่วน Neon และ Eclipse ก็เป็นตัวที่จะมี TPS สูงสุดถึง 100,000 หลังการอัปเกรด Firedancer ของทาง Solana ซึ่งก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าการใช้งานจริงเมื่อเทียบกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็ต้องรอติดตามหลังการเปิดตัวและการอัปเกรดต่างๆเสร็จทั้งหมด ซึ่งน่าจะพอเห็นภาพในปี 2025 นี้
Monad และ Solana มักถูกนำมาเปรียบเทียบกันในวงการคริปโตอยู่เสมอ แม้ทั้งสองจะมีแนวทางทางด้านเทคโนโลยีที่ค่อนข้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Monad ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็น EVM-compatible Blockchain (parallelized EVM) ที่ต้องการดึงดูดนักพัฒนาจากฝั่ง Ethereum ในขณะที่ Solana เลือกเป็น Parallelized Blockchain ที่ใช้ภาษา Rust, C++ เป็นหลัก ซึ่งไม่ได้รองรับ EVM อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ต่างก็มุ่งเป้าไปที่การเป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้การถกเถียงว่าใครจะ "เหนือกว่า" เป็นประเด็นที่น่าสนใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง
ถึงแม้ทั้ง Monad และ Solana ต่างก็ใช้แนวคิดการประมวลผลแบบ Parallel Execution เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม แต่ทั้งสองก็มีวิธีการและกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน โดย
ดังนั้น ทั้ง Monad และ Solana ต่างก็ใช้หลักการ Parallel Execution เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ วิธีการและกลไกการทำงานเบื้องหลังนั่นเอง
Solana: มี Ecosystem ที่เติบโตและแข็งแกร่งมานานแล้ว โดยเฉพาะในด้าน DeFi และ NFT แม้จะต้องใช้วิธีการพัฒนาที่แตกต่างออกไป (ด้วยภาษา Rust) แต่ก็มี Tools และ Framework ที่ครบครันสำหรับ Dev ที่เชี่ยวชาญในระบบของ Solana โดยเฉพาะ เครือข่าย Solana เคยประสบปัญหาการหยุดทำงานในอดีต แต่ก็ยังคงพัฒนาความน่าเชื่อถืออย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าตัวเลขต่างๆของ Monad จะดูเหมือนว่าด้อยกว่าคู่แข่งอยู่บ้าง แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่า Monad เป็นโปรเจกต์ Parallized EVM ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดถ้าดูจากในแง่ Social Metrics และ Community ที่แข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งเชื่อว่าการที่ Monad เป็น Parallelize EVM ที่มี Community แข็งมากที่สุด เป็นเพราะว่า Monad มีความเป็น Ethereum Project มากกว่าตัวอื่น เช่น Sei ให้ความรู้สึกว่าเป็นโปรเจกต์ในฝั่ง Cosmos มากกว่า หรือถ้าเป็น Neon กับ Eclipse ก็ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงกับฝั่ง Solana ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ โปรเจกต์ยังให้ความสำคัญกับการสร้าง Community ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของโปรเจกต์ โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมผ่านช่องทาง Social Media ต่างๆ เช่น X, Telegram และ Discord
สมาชิกใน Community ของ Monad เรียกตัวเองว่า "Nads" ซึ่งเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การสร้าง Meme, การตอบคำถามและพูดคุยในกลุ่ม, Game Night และการเข้าร่วมฟัง AMA เป็นต้น ปัจจุบัน Community ของ Monad มีผู้ติดตามมากกว่า 600,000 คน และ 500,000 คน บน X และ Discord ตามลำดับ และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา ทาง Monad ได้มีการพัฒนา Community ทั้งในส่วนของ Ecosystem และ Builder จำนวนมาก มีรายละเอียดดังนี้
จากที่เกริ่นไปข้างต้น หัวใจของ Monad คือเป็นบล็อกเชน EVM Layer 1 ที่ใช้เทคโนโลยี Parallel Execution ทำให้มีความเร็วสูงสุดถึง 10,000 ธุรกรรมต่อวินาทีและมี Block Time และ Finality Time อยู่เพียงแค่ 1 วินาทีเท่านั้น จึงจัดเป็นหนึ่งในบล็อกเชนที่มีความเร็วสูงที่สุดตัวหนึ่ง ซึ่งนอกจาก Parallel Execution แล้ว ทาง Monad ยังพัฒนาฟีเจอร์หลักๆด้วยกัน 4 อย่างที่ช่วยเสริม Performance ให้บล็อคเชนและ Optimize การทำงานของ Parallel Execution ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนี้
MonadBFT เป็นระบบ Consensus เฉพาะตัวของ Monad ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูง โดย MonadBFT ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก DiemBFT, Byzantune Fault Tolerance และ HotStuff อีกทีหนึ่ง ซึ่ง MonadBFT ถือเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญที่ทำให้ Monad มี Finality และ Block Time ต่ำมาก
โดยเมื่อเทียบกันแล้ว ความแตกต่างหลักของ MonadBFT เมื่อเทียบกับตัวที่เป็นแบบอย่าง (อย่างเช่น HotStuff) คือ MonadBFT จะเป็น Consensus ที่ลดขั้นตอนในการ Validation เช่น ถ้าเทียบกับ HotStuff ที่เดิมมี 3 ขั้นตอนจะลดลงเหลือเพียง 2 ขั้นตอน นอกจากนี้ ยังลดความซับซ้อนของการสื่อสารระหว่าง Validator จะทำให้ Validator สามารถโหวตจำนวนบล็อกมากกว่าหนึ่งในเวลาเดียวกันได้
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการทำงานของ Monad คือ Deferred Execution ซึ่งมันก็คือการแยกกระบวนการ Execution และ Consensus ออกให้เป็นอิสระจากกัน ซึ่งหมายความว่า Node สามารถตกลงเรื่องลำดับของธุรกรรม (Consensus) โดยไม่ต้องรอผลลัพธ์จากการทำธุรกรรม (Execution) ซึ่งช่วยให้ Monad สามารถทำการประมวลผลบล็อกหนึ่งและร่วม Consensus กับบล็อกถัดไปได้พร้อมๆ กัน จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งในด้านความเร็วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการ Scalability
โดยจะแตกต่างจากวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยกันที่ต้องรอผลลัพธ์จากการทำธุรกรรมก่อน (Execution) ก่อนที่จะข้ามไปสู่ขั้นตอนของการ Consensus ซึ่งทาง Monad มองว่าการทำแบบเดิมๆนี้ไม่มีความจำเป็น และยังไม่มีประสิทธิภาพและเกิดปัญหาคอขวด
ส่วนใครที่กำลังกังวลว่าแล้วการทำแบบนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความถูกต้องของการประมวลผลของ Node หรือการที่อาจเกิดความผิดพลาดหรือความไม่หวังดีของ Node นั้น ทาง Monad ได้มีกระบวนการป้องกันเอาไว้แล้วเรียกว่า “Delayed Merkle Root” ซึ่งเป็นการดีเลย์ผลลัพธ์ของ State Root โดยที่ไม่ส่งผลต่อ Finality Time
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ Monad ก็คือ Parallel Execution ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง Narrative สำคัญของปี 2024 ที่ผ่านมา เลยก็ว่าได้ (บล็อกเชนอื่นๆที่ทำ Parallel Execution เช่น Solana, Sui, Sei เป็นต้น) ซึ่ง Parallel Execution คือการที่บล็อกเชนสามารถประมวลผลธุรกรรมจำนวนมากแบบคู่ขนานกันไปในเวลาเดียวกันได้และเป็นอิสระจากกันโดยสิ้นเชิง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็คล้ายๆกับการที่เราไปซื้อของใน Supermarket โดยที่มี Cashier มากกว่าหนึ่ง ทำให้สามารถรับมือกับลูกค้าหลายๆคนพร้อมกันได้จึงไม่ต้องรอคิวนาน
เมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานของบล็อกเชน EVM แบบดั้งเดิมอย่างเช่น Ethereum นั้น บรรดาธุรกรรมจะไม่ได้ถูกประมวลผลแบบคู่ขนานทำให้เกิดข้อจำกัดที่เป็นเพราะธุรกรรมจะต้องมีการรอคิวกันถึงแม้ว่าธุรกรรมที่เราทำนั้นจะเป็นธุรกรรมที่ไม่ได้ซับซ้อน (เช่นการ Send, Swap, etc.) เราก็จะต้องไปรอต่อคิวธุรกรรมที่ซับซ้อนและใช้วลานานกว่าอยู่ดี นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อค่าทำธุรกรรมที่แพงในเวลาที่มีการทำธุรกรรมอย่างหนาแน่น กรณีที่เราเจอกันบ่อยๆ อย่างเช่น เวลาที่มีโปรเจกต์เปิด Mint NFT ที่คนให้ความสนใจมากๆ ในเวลาดังกล่าวจะเกิดการพุ่งขึ้นของเวลาและค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมบนเชน โดยส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆที่ไม่ได้ทำการ Mint NFT ไปด้วยนั่นเอง ในทางกลับกัน ถ้าเป็น Parallel Execution ค่าธรรมเนียมที่จ่ายและเวลาการทำธุรกรรมในส่วนอื่นๆที่ไม่ใช่การ Mint NFT จะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้ไป Mint NFT เพียงแค่ต้องการ Swap เหรียญ เราก็ไม่ต้องไปรับผลกระทบจากตรงส่วนนั้น
ความท้าทายหลักของ Parallel Execution คือกระบวนการ Identify ว่าธุรกรรมใดบ้างที่เป็นอิสระจากกันบ้างเพื่อใช้ในการจัดกลุ่มว่าชุดธุรกรรมไหนสามารถประมวลผลแบบ Parallel ได้บ้าง ซึ่งวิธีการที่ Monad ใช้ในการทำ Parallel Execution คือ Optimistic Execution (จริงๆมีหลายวิธีที่ใช้ได้ เช่น State Access, Sharding, Computation-based) โดยจะทำการประมวลผลธุรกรรมไปพร้อมๆกันเลยโดยที่ไม่รอให้การประมวลผลธุรกรรมก่อนหน้าในบล็อกเดียวกันจบก่อน ภายใต้สมมติฐานที่ว่าธุรกรรมทั้งหมดเป็นอิสระจากกัน หลังจากนั้นจึงทำการตรวจสอบย้อนกลับอีกทีว่าสมมติฐานนี้เป็นจริงหรือไม่โดยการเทียบ State ขาเข้าและออกของแต่ละธุรกรรม (เรียกว่า State Merge) และทำการ Execute ใหม่ถ้าพบความไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามการ Re-execution ของ Monad จะไม่กินทรัพยากรเพราะใช้การเก็บเป็น Cache เอาไว้ในหน่วยความจำ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถทำการ Re-execution ของ Monad ทำได้ด้วยความเร็วสูงมาก
ยกตัวอย่างการทำงานของ Parallel Execution แบบ Optimistic Execution ในมุมของธุรกรรมบนบล็อกเชน สมมติว่ามีการทำธุรกรรม 2 อย่างตามด้านล่าง
ทั้ง 2 ธุรกรรมจะถูกประมวลผลแบบเป็นอิสระจากกัน แต่พอธุรกรรมกำลังจะถูกบันทึกบนบล็อกเชน (หรือเรียกว่าการ Commit) จะมี Pending Result เป็น Input และ Output ตามด้านล่าง
ซึ่งพอมาเจอกับ Pending Result ของธุรกรรมที่สองจะเห็นว่า Input = 100 USDC นั้น Invalid เพราะความจริง Input ควรจะต้องเป็น 90 USDC (เพราะนาย A ส่ง 10 USDC ไปให้นาย B แล้วก่อนหน้านี้จึงต้องเหลือเงิน 90 USDC) จึงจะต้องทำการ Re-execute ซึ่งพอ Re-execute จะเกิดเป็น Input และ Output ตามนี้
จุดเด่นของ Parallel Execution ของ Monad ก็คือการจัดเรียงลำดับธุรกรรมจะเป็น Linear ในลักษณะเดียวกับ Ethereum ทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาจะหน้าตาเหมือนกับการประมวลผลบน Ethereum เลย นอกจากนี้ ทาง Monad ยังจะมุ่งทำการพัฒนา Parallel Execution ของตัวเองให้ดีขึ้นไปอีก เช่น วิธีการที่จะหลักเลี่ยง Re-execution, การแก้ปัญหาคอขวดของการทำ Parallel Execution อย่างการพัฒนา MonadDB เป็นต้น
จากที่ได้กล่าวถึง Parallel Execution ไปก่อนหน้านี้ หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของการทำธุรกรรมแบบขนานคือ การเข้าถึง State ของบล็อกเชน (State Access) อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากธุรกรรมหลายรายการเกิดขึ้นพร้อมกันแบบ Parallel ดังนั้น Database จึงต้องรองรับการอ่านและเขียนข้อมูลแบบขนานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บล็อกเชนทั่วไป เช่น Ethereum มักใช้ Database มาตรฐานอย่าง LevelDB หรือ RocksDB ซึ่งออกแบบมาสำหรับ Sequential Execution ทำให้เกิดปัญหาคอขวด (Bottleneck) เมื่อต้องประมวลผลหลายธุรกรรมพร้อมกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Monad สร้าง MonadDB ขึ้นมาเป็นฐานข้อมูลเฉพาะตัว เพื่อรองรับการทำงานของ Parallel Execution
จากที่กล่าวไปแล้ว Monad เน้นการ Optimize ประสิทธิภาพในทุกมิติ ซึ่งรวมถึงการจัดการ State ของบล็อกเชนให้ยั่งยืน โดย Monad ได้ใช้กลไกค่าธรรมเนียมพื้นที่จัดเก็บและการคืนเงิน (Storage Fee and Refund) ที่แตกต่างจาก Ethereum
กลไกและนวัตกรรมของ Monad:
นวัตกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ Monad ในการสร้างบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อมกับกลไกทาง Economic ที่ยั่งยืน เพื่อรองรับการเติบโตของการใช้งานในอนาคต
Ecosystem ของ Monad ครอบคลุมตั้งแต่ฝั่ง DeFi, Gaming, Social, NFTs ไปจนถึง Wallet, AI, Infra และ DevTools/Launchpad ซึ่งสะท้อนว่ามีทั้ง DApps ให้ผู้ใช้งานทดลองและ Tools ให้ Builder ต่อยอดอยู่พร้อม ตัวอย่างเช่น
จะเห็นว่า Monade มี Core Primitive ทางการเงิน (DEX/Perp/Lending/Router) รองรับเรื่องสภาพคล่อง, มี Wallet และ Infrastructure พร้อมสำหรับ Onboard ผู้ใช้งาน, และมี Creator Layer/Social ช่วยในการผลักดัน Adoption ในฝั่งผู้ใช้ ทั้งหมดนี้ทำให้ Monad Ecosystem ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งจาก Tech → Usage ได้จริงเมื่อเปิดคัว Mainnet
ตัวอย่างโปรเจกต์ใหม่ที่น่าจับตาบน Monad Ecosystem เช่น aPriori เป็นโปรเจกต์ Liquid Staking ที่เพิ่งระดุมทุนในรอบ Strategic Round ได้กว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนักลงทุนชื่อดัง เช่น Hashkey Capital, Pantera, Primitive เป็นต้น
อีกหนึ่งตัวอย่างโปรเจกต์คือ Perpl ซึ่งเป็นโปรเจกต์ Perpetual DEX ที่ระดมทุนได้กว่า 9.25 ล้านดอลลาร์ นำโดย Dragonfly และ Ergonia นอกจากนี้ยังมีโปรเจกต์น่าสนใจอีกจำนวนมากใน Monad Ecosystem ที่กำลังทยอยเปิดตัว
Monad ได้เปิดตัว Public Testnet ไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2025 เพื่อให้ทั้งผู้ใช้และ Developer มาทดสอบ dApp และรับ Feedback ก่อนขึ้นเมนเน็ตจริงๆ
ภายใน 12 ชั่วโมงแรกของการเปิดใช้งาน Monad Testnet มีการส่งคำขอ 334M+ RPC และมี 250K+ กระเป๋า (unique wallets) ที่ถือเหรียญ $MON บน Testnet สะท้อนความสนใจอย่างล้นหลามทั้งจาก Developer และผู้ใช้ ข้อมูลล่าสุดจากภาพแสดงว่าเครือข่ายมีจำนวนธุรกรรมสะสมถึง 2,514,134,542 และมีกระเป๋าทั้งหมด 309,443,561 ใบ ยืนยันกระแสการใช้งานที่ต่อเนื่อง
หลังขอเหรียญจาก Faucet แล้ว สามารถเชื่อมกระเป๋าและไปลองใช้ Monad Testnet บน dApps ต่าง ๆ ได้เลย เช่น Swap หรือวาง LP บน Uniswap หรือไปดูเพิ่มเติมแอปที่หน้า Featured Apps บน Testnet Hub หรือเข้าไปร่วมทดสอบ Contract/Deploy ผ่าน Developer Portal และติดตามแอปใหม่ ๆ ที่จะทยอยเปิดตัวเพิ่มตลอดช่วง Testnet
Monad คือบล็อกเชน Layer 1 แบบ EVM-Compatible โดยมีจุดเด่นคือการทำงานแบบด้วย Parallelized Execution เพื่อลด Latency/เพิ่ม Throughput โดยอาศัยแกนหลักอย่าง MonadBFT, Deferred Execution และ MonadDB
โปรเจกต์ระดมทุนได้รวม $244M และเปิด Public Testnet เมื่อ 19 ก.พ. 2025 (ส่วน Mainnet คาดว่าถูกวางไว้ในช่วงเดือนกันยายน แต่ต้องรอยืนยันอย่างเป็นทางการอีกที)
ถึงแม้จะมีจุดเด่นด้าน Community ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่ยังต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองในด้าน Network Effects ในระยะยาว รยมถึงในเรื่องของความซับซ้อนของความปลอดภัย/เสถียรภาพจากการประมวลผลแบบขนาน, การแข่งขันกับทั้ง Ethereum L2s และ L1 ตัวอื่นๆ, และด้าน Roadmap Execution Risk ที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นหากมีการล่าช้า
สรุปคือ Monad Monad มีเพียบพร้อมมทั้งในด้านเทคโนโลยี เงินทุน และ Community เหลือแค่รอดูผลงานในอนาคตว่าจะสามารถทำได้จริง และดึงดูดให้เกิด Adoption ได้แค่ไหนในระยะถัดไป