หลังจากที่ EigenLayer Testnet ได้เปิดให้ทดลองใช้ในวันที่ 6 เมษายน 2023 ได้มีผู้เข้าไปทดลองใช้เพื่อหวังว่าจะมีโอกาสได้รับ $EIGEN Airdrop จากการร่วมทดสอบแพลตฟอร์ม จนในตอนนี้ที่ Mainnet ในส่วนของการ Restaking ได้เปิดให้ใช้งานจริงแล้วในวันที่ 16 มิถุนายน ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมากจนมีคน Restake เต็มโควต้า
https://twitter.com/eigenlayer/status/1674946484301619203
จนประกาศล่าสุดของ EigenLayer ได้มีแผนที่จะขยายโควต้าการ Restaking ให้เพิ่มมากกขึ้นกว่าเดิม 3 เท่าในวันที่ 10 กรกฎาคมที่จุดถึงนี้ ใครที่สนใจว่าทำไมชาวคริปโตถึง Hype กับแพลตฟอร์มนี้มาก สามารถอ่านรีวิวแบบเจาะลึกได้ในบทความนี้
ก่อนที่จะไปเข้าเนื้อหาหลักว่า EigenLayer คืออะไร และทำงานอย่างไร มาดูสถานการณ์ปัจจุบันของ Ethereum และ DApp บางกลุ่มที่ต้องมี Node เพื่อให้เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น
จากการวางโครงสร้างให้ Blockchain Proof of Stake (PoS) นั้นจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้นหรือน้อยลงตาม Economic Security ซึ่งหมายถึงจำนวน Native token (ในทีนี้คือ $ETH ของ Ethereum blockchain) ที่ Stake ไว้ในระบบเพื่อเป็น "หลักประกัน" ให้ความประสบความสำเร็จของเครือข่ายสอดคล้องกับเงินที่ลงทุนไป แม้สิ่งนี้จะดูดี แต่ก็ทำให้เกิด Dilemma หลายอย่าง
เช่นเดียวกันกับ DApp บางประเภทที่ใช้หลักการ Economic security ยกตัวอย่างเช่น Bridge ที่ผู้เป็นตัวกลางในการย้าย Asset ข้ามเชนต้องมีการ "Bonding" หรือวางสินทรัพย์เป็นทุนประกัน (Bonded asset) เพื่อเป็นประกันภัยหรือการรับประกันสำหรับป้องกันความผิดพลาดหรือการทำงานของ Bridge ก็จะสามารถหักเงินประกันก้อนนี้ชดเชยได้
*Bridge ยังมีโมเดลแบบไม่พึ่งพา Economics security เช่นอาศัย Multisig ในการอนุมัติการส่งเงินข้ามเชน โดยจะมีผู้ถือกุญแจ (Signer) จำนวนกึ่งหนึ่งตามที่ Threshold กำหนด ซึ่งวิธีนี้เสี่ยงมากเพราะถ้า Multisig หลุด เงินจะหายทั้งหมด โดยกรณี Ronin Bridge, Multichain และ Polynetwork ต่างก็ใช้วิธีการนี้
แม้ว่าการใช้ Proof of Stake และ Bonding จะดูมีข้อดีและเป็นเหตุเป็นผลตามเศรษฐศาสตร์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องคำนึงถึงเช่นกัน
Ethereum จะแข็งแกร่งได้จำเป็นต้องมี $ETH Stake เพื่อเป็น Validator node ให้มากที่สุดเพื่อให้การควบคุมอำนาจได้มากกว่า 51% นั้นใช้ต้นทุนทางการเงินที่สูงจนคนโจมตีไม่คุ้มค่าหรือเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ โดยในขณะนี้ Ethereum มีประมาณ 20m ETH หรือ $38b ดูแลเชนอยู่ ซึ่งแข็งแกร่งมากจนทำให้การครอบครอง ETH ให้ได้ครึ่งหนึ่ง หรือการกวาดซื้อ ETH บนท้องตลาดแล้วมา Stake นั้นก็มีระบบป้องกันที่ทำให้โจมตียากเช่นกัน
เช่นเดียวกันกับ DApp ที่ต้องอาศัยความเชื่อใจในข้อมูลที่ส่งอย่าง Bridge หรือ Oracle ก็ต้องมีการทำ Bonding ให้เยอะและแข็งแกร่งมากพอที่ผู้โจมตีจะคุมเสียงเกิน 51% ได้ยาก หรือ ผู้ใช้งานจะเชื่อมั่นหากเกิดข้อผิดพลาด จะมีประกันภัยที่ช่วยชดเชยความเสียหาย
ดังนั้น มันจึงเป็น Dilemma ของผู้ใช้งานว่า "ถ้าอยากให้ Ethereum แข็งแกร่งก็ต้องซื้อ ETH ไป Stake และถ้าอยากให้ DApp ก็ต้องใช้ Token ของ DApp นั้นไป Bonding" ซึ่งจะเกิดปัญหาตามมา 4 ข้อดังนี้
Ethereum ไม่ได้ทำงานด้วยตัวมันเองทั้งหมด ต้องพึ่งพา DApp ต่างๆ ตัวอย่างเช่น การใช้ออราเคิลเพื่อดึงราคาที่แม่นยำ การสื่อสารกับเชนอื่นๆ ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อความข้ามเชน
หากเปรียบเทียบความปลอดภัยเหมือนกับน้ำที่ใส่ในแก้ว แม้ว่าแก้วจะทนทานเพียงใด แต่หาก "แก้วร้าวเพียงเล็กน้อย" น้ำก็จะทะลักออกจากจุดอ่อนนั้น
ยกตัวอย่างเช่น Ethereum มีความแข็งแกร่ง $38b ส่วน Bridge มีความแข็งแกร่งเพียง $1b การโจมตี Bridge จึงง่ายกว่ามาก แต่หาก Bridge เหล่านี้ใช้ความแข็งแกร่งเดียวกับ Ethereum ก็จะแก้ปัญานี้ได้ ซึ่ง EigenLayer มีบริการนี้
ซึ่งเหมือนกับ Ethereum จะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่การส่งข้อมูล/สินทรัพย์ข้ามเชนจำเป็นต้องใช้ Bridge หรือการนำข้อมูลจากโลกภายนอก (Off-chain) จำเป็นต้องพึ่งพา Oracle หากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมีจุดอ่อนจนมีการ Exploit หรือ Hack บ่อย ความน่าเชื่อถือหรือประสบการณ์ใช้งานเชนนั้นก็จะยิ่งแย่ลง
ถ้า DApp หรือ Blockchain ต้องการดึงดูดให้มีคนมา Stake/Bonding เยอะขึ้นเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความกระจายศูนย์ วิธีที่ง่ายที่สุดคือการทำ Incentive Program เช่น การแจก Token emission เยอะๆเพื่อดึงดูดคน แม้จะเป็นวิธีที่สะดวกและได้ผลดีในระยะสั้นเหมือนการโด๊ปยา แต่ยิ่งนานไป Dilution effect จากการแจกเหรียญจะสูงขึ้น และถ้าหยุดแจกเมื่อไหร่ คนก็จะถอนเงินออกเพราะไม่มีแรงจูงใจด้านการเงิน สิ่งนี้จะทำให้ความแข็งแกร่งของเชนลดลงในระยะยาว
Blockchain PoS พยายามทำให้เชนมีความปลอดภัยและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆจากการเพิ่ม Staked Native Token เรื่อยๆเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับ DApp ที่เกิดมาเพื่อให้บริการเรื่องอื่นนั้น "การออกแบบ Tokenomics เพื่อให้การแจกมีความ Decentralized และยั่งยืนมากที่สุด" เป็นงานรองที่ไม่เกี่ยวข้องกับ DApp นั้น
ดังนั้นจึงเป็นการเสียเวลาและทรัพยากรอย่างมากที่จะมาใช้กับเรื่องรอง แทนที่จะไปโฟกัสงานหลักที่ควรใส่ใจ
จากแนวคิด High risk, high return ปัจจุบัน Ethereum มีความแข็งแกร่งมากที่สุดและให้ผลตอบแทนประมาณ 4.5%
หาก DApp ต่างๆอยากให้คนมี Stake มากขึ้น จำเป็นต้องเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่า 4.5% เพื่อดึงดูดให้คนมา Stake เพราะความแข็งแกร่งยังสู้ไม่ได้ เหตุการณ์นี้นอกจากจะใช้ Incentive ที่สูงขึ้น แต่ถ้าเกิดขึ้นจริง แปลว่า "คนจะถอนเงินจาก Ethereum แล้วมา Stake ไว้ใน DApp"
ก็จะทำให้ Ethereum อ่อนแอลง แต่ DApp แข็งแกร่งขึ้น ซึ่ง Ethereum เป็น Base layer ที่ควรมีความแข็งแกร่งมากที่สุด การที่ถูกดึงความแข็งแกร่งออกไปนั้นไม่ใช่เรื่องดีต่อภาพรวม หรือก็คือเป็นความย้อนแย้ง (Paradox) ที่เกิดขึ้นจากการที่ต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
EigenLayer คือ Marketplace ที่วางขาย Decentralized Trust สำหรับ Ethereum validator node ที่ต้องการช่วยเหลือ DApp ต่างๆที่ต้องการความปลอดภัยและแข็งแกร่งจาก Ethereum
ฝั่ง Ethereum validator node ใช้ Staked ETH เพิ่มความแข็งแกร่งให้ DApp อื่นๆ ด้วยการ Run node software นั้นๆ หลักการนี้เราจะเรียกว่า "Restaking Mechanism" ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกช่องทาง
ฝั่ง Marketplace จะเปิดให้ DApp ต่างๆเข้าร่วมได้อิสระ ทั้งเรื่องผลตอบแทน, Comission, คุณลักษณะของ Node ตามความเหมาะสม EigenLayer จึงเป็นแหล่ง Bootstrap ด้านความเชื่อใจและความปลอดภัยให้แก่แพลตฟอร์มเกิดใหม่มากมาย (Early stage)
ซึ่ง DApp กลุ่มนี้ Eigenlayer จะเรียกว่า Actively validator service (AVS) หรือ Middleware ยกตัวอย่างเช่น Sidechains, Data availability layers, New VMs, Keeper networks, Oracles, Storage, Bridges เป็นต้น
Eigenlayer (https://app.eigenlayer.xyz/)ในตอนนี้ใช้งานจริงบน Ethereum Mainnet ในส่วนของ Restaking เท่านั้น ยังไม่มี DApp (หรือ Service) ที่จะเข้ามาขอใช้บริการ โดยการใช้งานมีรายละเอียดที่ต้องทราบดังนี้
*การถอน LSD หรือ ETH ออกจาก EigenLayer มีระยะเวลา 7 วัน
การเป็น Ethereum validator node ในตอนแรกจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะ ETH ถูกลอคไว้เพื่อใช้ดูแล Blockchain เท่านั้น --> การมาของ Liquid Staking Platform ช่วยให้มีใบเสร็จ (LSD) นำไปต่อยอดทำอย่างอื่นได้เช่น การค้ำประกันสร้าง Stablecoin (MakerDAO, Lybra Finance ฟังเพิ่มเติมได้ที่ DeFi Recap Podcast EP.1 ของ Cryptomind Research) แต่ Innovation หยุดเพียงแค่การ Leverage เท่านั้น
การมาของ EigenLayer จะต่อยอดให้ Staked ETH นำไปสร้าง Trust ให้กับ DApp อื่นๆได้ เพราะ Ethereum มีความแข็งแกร่งสูงที่สุด
EigenLayer ช่วยลดภาระการออกแบบ Governance Token ของแพลตฟอร์มที่ต้องคำนึงถึงการดึงดูดการใช้งาน อัตราการเฟ้อ ความกระจายศูนย์อย่างเท่าเทียม ซึ่งไม่ใช่จุดประวงค์หลักของ DApp นั้นๆ การลดภาระด้านนี้ไปจะช่วยให้ Governance Token ทำงานได้ตรงตามวัตุประสงค์มากยิ่งขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
DApp ต่างๆสามารถขอยืมความแข็งแกร่งจาก Ethereum ไปได้เพราะช่วงเริ่มต้นนั้น DApp ต่างๆอาจจะไม่มีชื่อเสียงจนได้รับความเชื่อมั่นมากพอจากนักลงทุน จนเวลาผ่านไปจนถึงจุดที่ DApp นั้นๆ มีความแข็งแกร่งดว้ยตัวเองมากพอ อาจยกเลิกการใช้ EigenLayer แล้ว Run node ด้วยตัวเองก็เป็นได้
การมาของ EigenLayer ทำให้นักลงทุนไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างเพิ่มความแข็งแกร่งให้ Ethereum หรือ DApp แล้วเพราะเราสามารถใช้ความแข็งแกร่งร่วมกันได้ (Shared security) ดังนั้นทิศทางที่จะมุ่งไปข้างหน้าจะเป็นไปในทางเดียวกันเสมอ เพราะถ้า Ethereum แข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นใน DApp ก็จะมากขึ้น และถ้า DApp ที่ใช้ Ethereum มีคุณค่ามากขึ้นก็จะสะท้อนกลับไปที่ Ethereum เช่นกัน
การตั้งตัวเป็น Validator node เพื่อดูรักษา DApp หรือ Blockchain นั้นให้แข็งแกร่งนั้น จำเป็นต้องอาศัยแรงจากนักลงทุนที่มองเห็นศักยภาพในโปรเจกต์นั้นๆ ซึ่งวิธีการปกติคือการสร้าง Incentive ที่จูงใจพอ เช่น มีผลตอบแทนที่คุ้มค่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนอาจจะไม่เห็น Value เดียวกันกับโปรเจกต์ก็ได้ เพราะเข้ามาเพียงเพราะผลตอบแทนเท่านั้น
สำหรับ EigenLayer Marketplace "โปรเจกต์สามารถกำหนดคุณลักษณะของ Validator node" ได้ เช่น อยากได้ Node จำนวนเท่าไหร่, ให้ตอบแทนเท่าไหร่, Node นั้นมีอายุ (Restaked point) ยาวนานแค่ไหน และกฎข้อบังคับต่างๆ เช่นการ Delay 7 วันก่อนถอนออก
EigenLayer จะช่วยให้มีการตกลงให้ชัดเจนว่าจะมี Node มาช่วยดูแลเท่าไหร่โดยที่ไม่ต้องลุ้นว่าจะมีคนมาเปิด Node เท่าไหร่และจะอยู่นานแค่ไหน
จากข้อมูลของ Milkroad ปัจจุบัน Ethereum มี Staking Ratio 17.07% ซึ่งน้อยกว่า Blockchain Layer 1 หลายตัวเช่น Cardano 62%, Solana 70.51%, Polygon 38.67%, Avalanche 61.86% และ Cosmos 70.15% และจากการต่อคิวเป็น Ethereum Validator node ปัจจุบันประมาณ 87,221 Node (2.8m ETH) จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 43 วันถึงจะครบทั้งหมด เพราะเปิด Node ได้วันละ 2,025 Node เท่านั้น
มีการคาดการณ์ว่า Ethereum จะมี Staking Ratio 25% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ผลตอบแทนลดลงเหลือ 3% (จากปัจจุบัน 4.5%) ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับนักลงทุนบางคน การที่ EigenLayer เข้ามาช่วยเสริมรายได้ให้ Ethereum validator node จะช่วยชดเชยรายได้ และทำให้ Ethereum มีความแข็งแกร่งสูงเช่นเดิม
Sreeram Kannan นอกจากเป็น CEO EigenLayer ยังเป็นรองศาสตราจารย์สาขา Electrical & Computer Engineering มหาวิทยาลัย Washington และ ผอ. UW Blockchain Club นอกจากนี้ยังแลปศึกษาเกี่ยวกับ Machine learning, Blockchain systems และการประยุกต์ทฤษฎีสารสนเทศในเครือข่ายการสื่อสาร จะเห็นได้ว่าประวัติมาททางสาย Academic และมีความเข้าใจเรื่อง Technology มาก
EigenLayer ได้ระดมทุนจาก VC ชื่อดังมากมาย เช่น Coinbase, Ethereal Ventures, Polychain, Figment Capital โดยได้จากรอบ Pre-seed, Seed round และ Series A ล่าสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รวมแล้วได้เงินระดมทุนทั้งหมด $64.4m และมี Valuation อยู่ที่ $500m
จากภาพรวมการทำงานคร่าวๆ เราพอจะมองเห็นภาพรวมแล้วว่า EigenLayer สามารถช่วยเหลือ DApp หรือ Service ได้หลากหลายประเภทมาก ซึ่งถ้ามองตามความเหมาะสมแล้ว DApp เหล่านั้น "ไม่ควรเกิดการ Slashing บ่อย" เพราะจะทำให้คนที่ Restaked ETH จะถูกหักเงินบ่อยจนความแข็งแกร่งโดยรวมทั้งหมดต่ำลง ดังนั้นหัวข้อนี้จะยกตัวอย่าง DApp ที่เหมาะสมที่จะใช้งาน EigenLayer ดังนี้
ซึ่ง Sreeram ยังเล่าว่ามี Use case อีกมากมายที่ EigenLayer เช่น MEV-Boost, Data Availability layer, Settlement infrastructure, Secure multiparty computation, Single-slot finality ซึ่งล้วนแต่มีความสำคัญในระบบ Blockchain มาก สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ใน Twitter Thread นี้ครับ
ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจาก EigenLayer ว่าจะมีเหรียญ $EIGEN หรือ $EL อย่างไรก็ตาม การเป็น Marketplace จะมีโมเดลการหารายได้คือการ "เก็บค่าธรรมเนียม" ตามสัดส่วนรายได้ของผู้ใช้งาน หรือ "เก็บค่าวางขาย" จาก DApp ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น EigenLayer จึงมีรูปแบบรายได้ที่ชัดเจนและมีความยั่งยืนหากมีการใช้งานที่มากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ เรามองว่าสุดท้ายแล้ว EigenLayer ต้องปล่อยเหรียญออกมา ดังนี้
EigenDA เป็น Data Availability (DA) Layer ใน Modular blockchain ที่ช่วยจัดการ ออกแบบและเก็บข้อมูลของ Blockchain ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และรวดเร็วขึ้นกว่าการที่ Blockchain นั้นจะทำงานหลายส่วนด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่าง เช่น Ethereum ในยุคก่อน Proof of work จะเป็นแบบ Monolith ที่ Data Availability, Consensus, Settlement และ Execution layer จะรวบทำเองทั้งหมด แต่หลังจาก The merge ที่มีการเปลี่ยนเป็น Proof of stake (อ่านเรื่อง The merge ได้ที่ Link นี้) ทำให้ Ethereum มีความเป็น Modular คือสามารถแบ่งงานให้บริษัทอื่นช่วยทำได้
ดังนั้น EigenDA ของ EigenLayer จะรับช่วยด้าน Data Availability layer ส่วน Layer อื่นๆ จะให้บริษัทอื่นหรือ Ethereum ดูแล เป็นต้น
Sreeram ทำทดสอบพบว่า Ethereum DA ในปัจจุบันส่งข้อมูลไปให้ Consensus layer เป็นผู้ตรวจสอบได้ที่ 80 KB/s และถ้าใช้ EigenDA จะทำได้เร็วขึ้นถึง 15 MB/s เร็วขึ้น 187.5 เท่า และสามารถดันความเร็วได้สูงสุดที่ 1GB/s
ปัจจุบัน Mantle Network ซึ่งเป็น Ethereum Layer 2 จาก BitDAO ได้เลือก EigenDA ไว้ใช้งาน
ในส่วนของคู่แข่ง EigenDA คือ Celestia และ Polygon Avail
แม้ว่า EigenLayer จะช่วยเหลือแพลตฟอร์มและเหล่า Stake ETH ให้ได้รับประโยชน์กันหมดทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม EIgenLayer ก็ยังมีความเสี่ยงที่ควรคำนึงถึงและถ้าไม่ระวังก็อาจส่งผลเสียที่ร้ายแรงได้ ซึ่ง Vitalik Buterin ก็ได้เขียนบทความเตือน Don't overload Ethereum's consensus ซึ่งกล่าวเตือนความเสี่ยงของ EigenLayer โดยเฉพาะ โดยเราได้รวมความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
จากปกติที่แต่ละ DApp มีการรักษาความปลอดภัยเฉพาะตัว การที่ทุกคนใช้ Restaked ETH ของ EigenLayer แม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งมากในปัจจุบัน แต่ถ้าอนาคต Ethereum เกิดความผิดพลาดจนล่มสลาย DApp ที่ใช้งานก็จะพังทลายลงเช่นกัน ซึ่งทางแก้คือ DApp เหล่านี้ต้องไหวตัวทันแล้วปรับมาใช้การรักษา Node ด้วยตัวเอง
แม้ว่า EigenLayer จะถูก Audit และตรวจสอบมาแค่ใดก็ตาม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิด Exploit และ Hack ได้เสมอ ซึ่งหากเกิดขึ้น จะไม่ใช่เพียงแค่ EigenLayer ที่เสียหาย แต่จะรวมถึง Ethereum ที่กระทบเพราะ Restaked ETH อาจโดน Slashing หรือ DApp ที่ความแข็งแกร่งหายไปทั้งหมด ดังนั้น จึงยังไม่ควร All in ไปทั้งหมดกับ EigenLayer ในช่วงแรกที่เปิดใช้งาน
EigenLayer เป็น Marketplace ที่เปิดให้ผู้ซื้อและขายได้พบกัน หากการตรวจสอบ DApp/Liquid Staking ที่จะเอา Restaked ETH ไปใช้งานนั้นไม่ดีพอ เช่น มี Bug หรือจุดอ่อนต่างๆที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็จะเกิดการ Slashing โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งนอกจากผู้ Restaked ETH จะโดน Slash แต่ความแข็งแกร่งของ Ethereum ก็จะลดลงมาด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ Vitalik กังวลมากว่าจะเกิดผลเสียต่อภาพใหญ่
*ยกตัวอย่างเช่น DApp มีการตั้ง Minimum uptime ที่ห้ามต่ำกว่าจุดที่กำหนด (Threshold) แต่โค้ดใช้การคำนวณ Uptime ผูกกับจำนวน Block ที่ตัวเองผลิตได้ ผลลัพธ์คือมีคนที่ Uptime อยู่ในเกณฑ์แต่โชคร้ายไม่ได้ Produce block จึงโดน Slash เป็นต้น
ทางแก้คึอ EigenLayer จะใช้ Multisig veto committee ที่จะมา Review เหตุการณ์ว่าสมควรโดนหักหรือไม่
EigenLayer ในปัจจุบันยังเป็น "Upgradable smarrt contract" ซึ่งทำให้ Code สามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่จะมีระยะเวลา Delay ในการเปลี่ยนตามที่ระบบกำหนด (Timelock) ดังนี้
ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ Multisig หลุดจำนวนหนึ่งหรือมีคนละเลยการอัพเกรด Smart contract ก็มีโอกาสจะเกิดความเสียหายได้
ปัจจุบัน Community multisig ประกอบด้วย Ethereum developer จำนวน 13 คน ได้แก่
การที่เราเลือกใช้ความแข็งแกร่งของ Ethereum เป็นเหมือนเรา "ไว้ใจใน EigenLayer และ Ethereum" ซึ่งในโลกของ Decentralized การไม่เชื่อใจใครนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้า Ethereum มีความแข็งแกร่งลดลง ก็จะส่งผลให้ DApp ที่ใช้งาน Restaked ETH มีความแข็งแกร่งลดลงเช่นกัน
ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือ DApp ที่มีความแข็งแกร่ง $10b แต่มี Operator ของ EigenLayer ช่วยดูที่โดยใช้ความแข็งแกร่ง $38.9b ทำให้การโจมตี DApp นั้นๆที่ความแข็งแกร่งสูงกว่ามูลค่าของ DApp นั้น ไม่เกิดความคุ้มค่า (กำไร $10b ขาดทุน $38.9b)
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ Restaked ETH ของ Operator ดูแล DApp หลายตัวจนเกิด "ความคุ้มค่าในการโจมตี" เมื่อถึงเวลานั้น Operator อาจสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อทำการโจมตีได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อถึงจุดนั้นอาจเกิดความเสียหายใหญ่เหลืองต่อ DApp ทั้งหมดได้
ซึ่งทีมของ EigenLayer ทราบถึงความเป็นไปได้ของความเสี่ยงนี้ จึงมีการเพิ่มเติม Parameter บางอย่างที่จะป้องกันเหตุการณ์ไว้เช่นกัน ซึ่งรายละเอียดจะต้องรอเปิดเผยอีกครั้งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า EigenLayer ไม่ได้เสียหรูที่จะมีเพียงข้อดีอย่างเดียว ข้อเสียหลายอย่างที่ตามมาก็เป้นเรื่องที่น่ากังวลเช่นกันเพราะการรวมความแข็งแกร่งมาที่ Ethereum แล้วใช้ EigenLayer มันจะเกิดการรวมศูนย์ ซึ่งจะไม่ได้กระทบเพียงวงแคบเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ Vitalik เป้นกังวลจนเขียนบทความวิจารณ์ Don't overload Ethereum's consensus และเสนอแนวคิดแก้ไข คือ การทำ Social layer ( layer 0 ) หรือ Bailout เป็นการใช้ Community เป็นคนช่วยตัดสินใจ อาจใช้ Social consensus ซึ่งมีรายละเอียดที่ต้องถกเถียงกันอีกมาก และวิธี Bailout ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ ใช้ให้น้อยที่สุด เพราะถึงแม้จะแก้ปัญหาเพียงครั้งเดียว แต่ก็ไม่ส่งผลดีในระยะยาว เช่น เหตุการณ์ The DAO hack ในปี 2016 ที่ ETH มูลค่า $50m ได้ถูกขโมยไปแล้วกลุ่มผู้ใช้งานตัดสินใจ Hard fork
แม้ว่าไอเดียของ EigenLayer จะเป็นเรื่องใหม่บน Ethereum แต่ใน Blockchain layer 1 อื่นๆนั้น มีการพัฒนาในลักษณะที่ใกล้เคียงแบบนี้เช่นกัน เช่น Subnet ของ Avalanche และ Interchain security ของ Cosmos
Cosmos ต้องการวางตัวเองเป็น Internet of Blockchain โดยจะมี Cosmos เป็นฐานและเชนอื่นๆสามารถสร้าง On-top ได้และยังมี SDK ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียน Smart Contract อีกด้วย หลังจากมีข้อเสนอ Cosmos 2.0 ก็มี Interchain Security ที่เอา $ATOM มาช่วยดูแลความแข็งแกร่งของ Appchain ที่สร้างอยู่บน Cosmos ได้เช่นกัน
Subnet เป็นเหมือน Layer 2 ของ Avalanche โดยการสร้าง Subnet นั้นจะ "ใช้ Validator node จาก Primary network จำนวนตั้งแต่ 2 node ขึ้นไป" มาทำหน้าที่การดูแล Blockchain จำนวน Node ที่น้อยลงนั้นแลกกับความ Decentralized ที่ลดลง แต่ก็ได้ความเร็วและค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงเช่นกัน นอกจากนี้ Node สามารถใช้ $AVAX หรือเหรียญใดก็ได้เป็นค่าธรรมเนียม และสามารถกำหนด Criteria ของ Node ที่อยากได้ได้ด้วยเช่นกัน
Merge mining หรือ Auxiliary proof of work เป็นเทคนิคที่ใช้ในระบบ Blockchain แบบ Proof of work โดยสามารถขุดเหรียญหลายสกุลพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน โดยใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์เดียวกัน โดยไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรขุดเฉพาะสำหรับแต่ละเครือข่ายนั้นๆ ทำให้สามารถเพิ่มรายได้และให้สูงขึ้นในต้นทุนที่เท่าเดิม ซึ่งทั้งสองเหรียญต้องใช้ Algorithm เดียวกัน เช่น กลุ่มที่ใช้ SHA-256 จะตั้ง Primary chain เป็น Bitcoin ส่วย Auxiliary chain จะเป็นเหรียญอื่น คือ Bitcoin-Namecoin, Bitcoin-Elastos, Bitcoin-RSK เป็นต้น
แต่ข้อเสียของ Merge mining ก็มีคือ เหรียญของ Auxiliary chain จะไม่ได้รับความสนใจและถูกเทขายตลอด, มีการใช้พื้นที่จัดเก็บทำให้กระทบต่อ Primary chain ด้วยกลไกลทางเศรษศาสตร์จึงทำให้ Blockchain ที่ใช้ Aglorithm เดียวกันนั้นจะมีเพียงเหรียญเดียวที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง กว่าเหรียญที่ใช้ Merge mining ในการอยู่รอด
EigenLayer เป็น Marketplace ที่ช่วยส่งเสริมการเพิ่ม Trust ให้กับ DApp หรือ Service ใหม่ๆที่ยังไม่มีความแข็งแกร่งมากเพียงพอในระยะเริ่มต้นให้สามารถ "ยืม" ความแข็งแกร่งจาก Ethereum ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดในปัจจุบันไปใช้งานได้ ซึ่งจะส่งผลดีย้อนกลับมาให้เหล่า ETH Restaker ที่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น (แต่ความเสี่ยงก็มากขึ้นตาม) แม้ว่าภาพรวมจะดูดีและทำให้ทิศทางของการพัฒนามุ่งไปในทางเดียวกัน แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่นักพัฒนาหลายคนยังเป็นกังวลคือเรื่อง Centralization risk ที่อาจจะดึงให้ความแข็งแกร่งของ Ethereum ลดลงได้หากเกิดความผิดพลาดอะไร
ดังนั้นในตอนนี้จึงเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่น่าจับตามองของ EIgenLayer ว่าจะผ่านบททดสอบด้านความเชื่อใจไปได้หรือไม่ การทยอยเปิด Mainnet ในทีละพาร์ทและค่อยๆทดสอบไปจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและปิดจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตครับ