ในปัจจุบัน DeFi กำลังประสบปัญหาสำคัญที่เรียกว่า Liquidity Fragmentation — การที่สภาพคล่องกระจัดกระจายไปอยู่ในหลาย DEXs, หลาย Blockchains และหลาย ๆ Protocols โดยไม่มีการเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งการกระจายของสภาพคล่องนั้นมีผลเสียทั้ง
นี่เป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่ทำให้ DeFi นั้นยังไม่ถูกปรับใช้มากเท่าที่ควร เป็นที่มาของ Katana Network นั่นเอง ในส่วนถัดไปเราจะเจาะลึกในตัว Katana Network กันว่ามีอะไรน่าสนใจและรายละเอียดเป็นอย่างไร
Katana Network เป็น Layer 2 Blockchain ที่พัฒนาโดยทีม Polygon และสร้างจาก Polygon CDK โดยเน้นไปที่การสร้างเชนที่มีสภาพคล่องสูงและสามารถสร้าง Yield อย่างยั่งยืนให้กับผู้ใช้ โดยจุดเด่นสำคัญคือการรวมสภาพคล่อง เพราะสภาพคล่องที่สูงจะช่วยลด Slippage และทำให้เงินทุนของผู้ใช้นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น Katana เชื่อว่านี่เป็นหัวใจสำคัญที่จะดึงดูดให้คนมาใช้งานมากขึ้น
ขอบคุณภาพจาก Defillama
ปัจจุบัน TVL ของ Katana อยู่ที่ $1.152B โดยอยู่ที่อันดับ 14 จากเชนทั้งหมด โดยในช่วง 30 วันที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นอันดับต้นๆ ที่ +65%
Katana มีการออกแบบ DeFi Flywheel ที่จะทำให้ User รู้สึกว่าคุ้มค่าและได้ Real Yield โดยมี Core Idea คือ การใช้งานมากขึ้น -> Yield สูงขึ้น -> สภาพคล่องหนาขึ้น -> การใช้งานมากขึ้น และวนไป
โดยสิ่งที่คอยขับเคลื่อนให้ Flywheel นี้ดำเนินต่อไปได้คือ Concept ที่ Katana คิดค้นมาเพื่อให้ User นั้นได้ประโยชน์สูงสุด มีรายละเอียดดังนี้
Vault Bridge เป็นกลไกที่ทำให้สินทรัพย์ที่ Bridge เข้ามายัง Katana สามารถสร้างผลตอบแทนจาก Vault ต่าง ๆ บน Ethereum ได้ด้วย Yearn หรือ Morpho ทำให้เงินฝากสร้างผลตอบแทนได้เลยตั้งแต่เริ่ม Bridge เงินเข้าไป ต่างจากที่อื่นที่เงินใน Bridge นั้นจะอยู่นิ่ง ๆ และรอวันที่ User มา Bridge เงินกลับออกไปเท่านั้น ไม่ได้มีการนำไปหาผลตอบแทนเพิ่มเติม
Yield จาก Vault Bridge นั้นถูกนำไปเป็น Reward เพิ่มเติมให้กับ Core dApps บน Katana ซึ่งจะ Benefit ต่อผู้ใช้ที่ฝากเงินกับ DeFi เหล่านั้น >> Reward Active User
Layer 2 นั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า Sequencer อยู่ซึ่งจะทำหน้าที่คล้าย Miner และ Validator บน Layer 1 โดยปกติแล้วเวลาทำธุรกรรม User จะต้องจ่ายค่า Sequencer Fee โดยเงินตรงนี้หากจ่ายค่าทำธุรกรรมหมดแล้ว ส่วนที่เหลือนั้นมักจะถูกเก็บเข้า Treasury เพื่อนำไปใช้จ่ายในอนาคต
สิ่งที่แตกต่างไปกับ Katana คือค่าธรรมเนียม Sequencer และรายได้จากส่วนหนึ่งจาก Core dApps จะถูกนำไปเพิ่ม Liquidity ให้กับ Katana เพื่อสร้างความหนาและเสถียรภาพของสภาพคล่อง แม้ในช่วงตลาดผันผวน โดยทั้ง 100% ของ Sequencer Fee ที่ Katana เก็บได้จะถูกนำไปเป็น Liquidity ทั้งหมด
นอกจาก Native Assets ที่มีบน Ethereum อย่าง ETH, USDC หรือ USDC แล้ว เพื่อที่จะเป็น Universal DeFi Platform ที่รองรับทุกอย่าง Katana จึงมีการทำ uAssets อีกด้วย
uAssets คือ 1:1 Wrapped Non-EVM Token ที่จะสามารถใช้ได้แบบ Native บน Katana ตัวอย่างเหรียญเหล่านี้คือ XRP, DOGE, SOL, SUI และอื่นๆ โดยเหรียญเหล่านี้จะเก็บอยู่ภายใต้ Coinbase Prime Custody และ User จะสามารถใช้เหรียญเหล่านี้ใน DeFi บน Katana ได้อย่างอิสระ และเข้าถึง Yield ที่ไม่เคยมีมาก่อนบนเชนนั้นๆ
นอกจาก Yield จาก Fee และ Revenue ทั่วไปแล้ว Katana ยังมี Native Stablecoin ของตัวเองในชื่อ AUSD ที่ถูก Backed ด้วย US Treasury Bills 100% แบบ Off-chain
Yield จาก T-Bills พวกนี้นั้นจะไม่ถูกไปเก็บไว้แต่จะถูกนำกลับมาเพิ่มสภาพคล่องให้กับ Ecosystem ของ Katana อีกเช่นกัน
จะเห็นว่าทั้ง 4 อย่างนี้นั้นมีส่วนช่วยให้ User นั้นเข้าถึง Katana ได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกทั้งยังมีอีกหลายทางที่ช่วย Generate Yield ให้กับ Katana ได้ซึ่งเมื่อ Yield มากขึ้นจะเป็นสิ่งที่ดึงดูด User เข้ามาและผลักดันให้ Flywheel นั้นดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันบน Katana Network มี Application หลักอยู่ 4 ตัว ประกอบด้วย
Yearn Finance
Sushi v3 (ยังไม่เปิดให้ใช้งาน)
Morpho (ยังไม่เปิดให้ใช้งาน)
Kensei (ยังไม่เปิดให้ใช้งาน)
นอกจาก Core dApps ที่เสนอไปข้างต้น Ecosystem ของ Katana ยังประกอบไปด้วยอีกหลากหลาย dApp ที่อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี อาทิ Jumper และ Lombard โดยสามารถดูเต็มๆ ได้ที่นี่
https://app.katana.network/ecosystem
เหรียญ KAT ซึ่งเป็นเหรียญ Governance ของ Katana มี Total Supply 10,000,000,000 (10B) Tokens โดยหลังจากที่ Token นั้นถูกแจกจ่ายแล้วจะโดน Locked เป็นเวลา 9 เดือนเพื่อป้องกันแรงเทขายในระยะสั้น Foundation อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาล็อกตรงนี้ได้ โดยจะไม่ปลดช้าไปกว่ากว่าวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2026
Tokenomics ของเหรียญ KAT จะเป็นรูปแบบ ve(3,3) โดยจะเป็นการอ้างอิงกับ Game Theory มีสองส่วนก็คือ
คือการ Lock เหรียญ Governance เพื่อมีส่วนร่วมกับระบบ และการล็อกที่นานขึ้นจะได้ Voting Power สูงขึ้น ในกรณีนี้คือการฝาก $KAT -> $vKAT อย่างเช่น
ซึ่ง Token ที่โดนล็อกไปจะมีการ Rebase คือปริมาณจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในกระเป๋าของเรา เพื่อป้องกันการเสียผลประโยชน์ของคนที่ล็อกเป็นระยะเวลานานๆ
การล็อกนั้นจะทำให้เราได้เลือกได้ว่า Reward ที่ทาง Protocol จะจ่ายออกมา (เหรียญ Governance) นั้นจะลงไปที่ Liquidity Pool ไหนบ้าง ซึ่งถ้าหาก Pool นั้นได้โหวตเยอะ ก็จะได้ Reward เยอะ และทีนี้คนที่มีสิทธิโหวตเยอะ ก็อาจได้ค่าตอบแทนบางอย่างจากคนวาง LP เปรียบเสมือนการซื้อโหวตพวกนั้น
Note: เหรียญที่ล็อกนั้นสามารถขายในตลาดรองได้ แต่ทั้งนี้ต้องดูสภาพคล่อง / ราคาว่าเหมาะสมหรือไม่
อ้างอิงมาจาก Game Theory คือถ้าหาก Participant ทุกคนเลือกที่จะ Lock / Stake เหรียญและไม่ขายทุกคนก็จะได้กำไรไปด้วยกัน ซึ่งจะกลายเป็น Loop ก็คือ
และเนื่องจากว่าคนที่ล็อก Governance Token นั้นได้ Reward เป็นค่าธรรมเนียมจาก LP อยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเทขาย Governance Token เลยและทุกคนได้ Reward เพิ่มขึ้นไปด้วยกัน
Note: แต่ถ้าหากมีสักคนในสมการนี้เลือกที่จะเทขายแทนที่จะถือต่อ ก็จะทำให้ Reward ทั้งระบบลดลง และทำให้ทุกฝ่ายเสียเปรียบทั้งหมด
Katana ไม่มีการขายเหรียญให้ VCs โดยจะเน้นเป็น Community Based โดยมีการแจกจ่ายดังนี้
Core dApps (10%) เป็น Liquidity Incentive เพื่อดึงดูด User หลัง Mainnet Launch
User Rewards (10%) แบ่งให้คนที่ฟาร์มบน Katana
POL Stakers (11%)
Katana Native Liquid staked POL (4%)
สามารถฟาร์มโดยตรงได้โดยเข้าเว็บไซต์ผ่าน Twitter @katana ได้ และทำการ Bridge เงินเข้าไปผ่านทางหน้าเว็บ
เมื่อเข้ามาแล้วจะมี Vault ให้ Earn ได้ 5 Vault ในตอนนี้โดยเป็น Vault จากทาง Earn ประกอบไปด้วย WETH, USDC, USDT, WBTC, และ AUSD
จะเห็นว่า APY จะค่อนข้างสูงซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพราะว่าในส่วนของ Reward มีการนับรวมเหรียญ $KAT ซึ่งอ้างอิงมูลค่า (FDV) ในอนาคตอยู่ด้วย
ในแง่การฟาร์มจริงๆ Yield หลักๆ นั้นจะขึ้นกับ Native APY เป็นหลักส่วนของ KAT Rewards ให้มองว่าเป็นเหมือนโบนัสจะดีกว่าครับ (เก็ง Airdrop)
Katana ได้จัด Campaign บน Turtlexyz ซึ่งเป็นเหมือนกับแพลตฟอร์มเพื่อการจัด Campaign และ Marketing โดยเราสามารถฟาร์ม Katana ผ่าน Turtle ได้โดยตรง และในส่วนนี้ Turtle จะเป็นคน Bridge เงินไปฝากให้เราแบบอัตโนมัติอีกด้วย
การฝากเงินผ่าน Vault บน Turtle นั้นจะทำให้ได้ Turtle Point ซึ่งในอนาคตจะแปรเปลี่ยนเป็นเหรียญ $TURTLE ได้ เป็นเหมือน Boosted Incentive ให้คนฝากบนนี้
อย่างไรก็ตามในการเพิ่มตัวแปรนี้มา ถึงแม้ว่าจะสะดวกสบายขึ้นแต่ก็มีความเสี่ยงเรื่อง Third-Party ด้วยเช่นกัน การใช้งานควรจะศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนครับ
Timeline ที่ผ่านมา:
แผนอนาคตหลังจากนั้น: Katana จะทำให้ผู้ใช้ทุกคนได้รับในสิ่งที่ต้องการนั่นคือ Real Yield หลังจากที่เกิด Network Effect และมีผู้ใช้เข้ามามากขึ้น
ส่วนในด้าน Ecosystem นั้นยังต้องรอกันต่อไปว่าจะมีการเปิดใช้งาน Core dApps อื่นๆ เมื่อไหร่ และ Ecosystem จะเติบโตได้ไวพอต่อความต้องการของตลาดหรือไม่
Smart Contract Complexity: ระบบมีการรวมกันที่ซับซ้อน ตั้งแต่เรื่องการที่ Asset ของเราใน Bridge ถูกนำไปต่อยอดหากมีปัญหาอาจทำให้การ Bridge กลับติดขัดได้ หรือการสร้าง Yield Strategies ทื่ซับซ้อนมากๆ นั้นก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดช่องโหว่อีกด้วย
Centralization Risks: ในแง่ของการควบรวม Liquidity มาไว้ใน dApps เดียวอาจฟังดูดีแต่ถ้าหาก dApp ตัวนั้นเกิดปัญหาขึ้นอาจกระทบเป็นวงกว้างต่อทั้งบล็อกเชนได้เช่นกัน
Token Unlock Volatility: การ Lock $KAT สูงถึง 9 เดือนโดยที่ Foundation สามารถเปลี่ยนแปลงช่วงเวลาเมื่อไหร่ก็ได้ อาจสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนและอาจเกิดความผันผวนรุนแรงได้
Competitive Pressure: ปัจจุบัน Layer 2 ในตลาดมีเยอะมากๆ ต้องดูว่า Katana จะสามารถเข้าไปตีตลาดที่ผู้เล่นเยอะขนาดนี้ได้มั้ย และการพัฒนานั้นจะมีนวัตกรรมต่อเนื่องหรือไม่
Community-First Approach: ไม่มีการขายเหรียญให้ VCs ทำให้กระจายเหรียญนั้นมีความเท่าเทียม และ Community ไม่ต้องกังวลการโดนเทขายจาก VCs
Real Yield Model: ผ่าน VaultBridge และ Chain-Owned Liquidity หากสามารถรักษา Yields ที่น่าสนใจได้ จะเป็นการสร้างเอกลักษณ์ที่โดดเด่นให้กับ Katana
Bullish Factors:
Risk Factors:
Katana Network คือบล็อกเชน Layer 2 ที่พัฒนาโดยทีม Polygon เพื่อแก้ปัญหา Liquidity Fragmentation ในโลก DeFi ซึ่งหมายถึงสภาพคล่องที่กระจัดกระจายอยู่ในหลายแพลตฟอร์ม ทำให้เกิดปัญหา High Slippage (ความคลาดเคลื่อนของราคา) และต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น Katana มุ่งเน้นการรวมสภาพคล่องเพื่อลดปัญหาเหล่านี้และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ใช้
จุดเด่นของ Katana คือการออกแบบ DeFi Flywheel รูปแบบใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไก 4 อย่าง ได้แก่ VaultBridge ที่นำสินทรัพย์ที่ถูก Bridge มาสร้างผลตอบแทนได้ทันที, Chain-Owned Liquidity (CoL) ที่นำค่าธรรมเนียมธุรกรรมไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบ, Universal Assets (uAssets) ที่ทำให้โทเคนที่ไม่ใช่ EVM สามารถใช้งานใน DeFi ได้, และ Agora USD (AUSD) ซึ่งเป็น Stablecoin ที่หนุนหลังด้วย US Treasury Bills โดยผลตอบแทนทั้งหมดจะถูกนำกลับมาเพิ่มสภาพคล่อง ทำให้ Katana เป็นแพลตฟอร์มที่สร้าง Real Yield และดึงดูดผู้ใช้งานได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม Katana ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด Layer 2 ที่มีการแข่งขันสูงมาก ความซับซ้อนของระบบที่อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านเทคนิค และความผันผวนของราคาเหรียญที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการปลดล็อกโทเคนในอนาคต ทำให้ต้องติดตามกันต่อไปว่า Katana จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้และสร้าง Ecosystem ของ DeFi ที่แข็งแกร่งได้อย่างที่ตั้งใจไว้หรือไม่