
Ledger Nano 5 เน้นเป็นพิเศษในด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) ที่ใช้งานง่ายเหมือนสมาร์ทโฟนที่รวมเข้ากับมาตรฐานความปลอดภัยชั้นนำระดับโลกของ Ledger พร้อมกันนี้ ยังมีการ เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อเน้นการสื่อสารถึงจุดยืนของ Product ที่ชัดและตรงประเด็นมากขึ้น
การเปิดตัวของ Ledger Nano Gen 5 มาพร้อมกับการที่ Ledger ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า "Signer" (ผู้อนุมัติลายเซ็น) แทนคำว่า "Hardware Wallet" เพื่อแก้ปัญหาความสับสน เพราะการใช้คำว่า Hardware Wallet ทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอุปกรณ์ในเก็บรักษาเหรียญ แต่ความเป็นจริงแล้ว Hardware Wallet เป็นอุปกรณ์ที่เก็บรักษา Private Key แบบ Offline และเมื่อถูกใช้งานจะทำหน้าหลักในการ “Sign” ธุรกรรมต่างๆที่ผู้ใช้งานเป็นผู้อนุมัติเท่านั้น
นอกจากนี้ คำว่า Signer ยังทำให้คำว่าธุรกรรมครอบคลุมมากว่าแค่การทำธุรกรรมการเงินทั่วไป (เช่น การลงชื่อเข้าใช้ dApps, การโหวต Governance, การจัดการ Digital Identity, Smart Contracts) ตัว Hardware Wallet จึงทำหน้าที่เป็นกุญแจสำคัญในการ ลงนาม (Sign) หรืออนุมัติธุรกรรมและกิจกรรมทางดิจิทัลต่างๆ

อีกหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับการเปิดตัว Ledger Nano Gen5 คือการเปลี่ยนชื่อ Application ที่ใช้ในการจัดการและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Ledger จากชื่อเดิม Ledger Live ไปเป็นชื่อใหม่ว่า Ledger Wallet
การเปลี่ยนชื่อเป็น “Ledger Wallet” สื่อถึงฟังก์ชันหลักในการเป็น Digital Wallet และ Interface สำหรับการจัดการสินทรัพย์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยจะเป็นมากกว่าเครื่องมือติดตาม Portfolio แต่ได้รับการยกระดับให้เป็นศูนย์ควบคุมที่ปลอดภัยและใช้งานง่าย ซึ่งช่วยให้เข้าถึงบริการที่น่าเชื่อถือที่สุดสำหรับการซื้อ แลกเปลี่ยน (swapping) สร้างรายได้ (earning) และอื่น ๆ
ในด้านความปลอดภัย Ledger Nano Gen 5 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมความปลอดภัยแบบ End-to-End ที่ทำงานร่วมกัน ประกอบด้วย Secure Element, Ledger OS, และ Certified Secure Screen
นอกจากนี้ ทาง Ledger ยังมีการแก้ปัญหาความปลอดภัยที่เกิดจากการ Approve หรือ Sign ที่ผิดพลาด ที่มักเกิดจากสาเหตุดังนี้:
โดยแนวทางการแก้ปัญหาความปลอดภัยมีสองชั้นคือ Clear Signing และ Transaction Check:

อีกหนึ่งสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือการเปลี่ยนมาใช้หน้าจอสัมผัส E-Ink ขนาดใหญ่ (คล้ายกับ Ledger Stax และ Ledger Flex) โดย Ledger Nano 5 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 2.8 นิ้ว ความละเอียด 300 x 400 Pixel ที่มีความประหยัดพลังงาน เพราะเทคโนโลยี E-Ink ใช้พลังงานน้อยมาก ทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นมาก
Gen 5 รองรับมาตรฐาน FIDO2 Passkeys ผ่าน Ledger Security Key เพื่อรองรับการยืนยันตัวตนและการลงชื่อเข้าใช้ที่ปลอดภัย (Secure Identity and Logging) สิ่งนี้สอดคล้องกับการปกป้อง Digital Identity ในในโลกที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วด้วย AI

ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อ Ledger Signer เข้ากับ dApps ยอดนิยม เช่น 1inch ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่าน Browser Extension เพื่อประสบการณ์ที่รวดเร็วและลดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย โดยหลังจากการ Integrate กับ 1inch แล้ว ทาง Ledger อาจมีแผนขยายไปรองรับ DApps อื่นๆเพิ่มอีกในอนาคต

Ledger ได้รวมบริการ Noah เข้ามา เป็นบริการ Cash-To-Stablecoin ทำให้ผู้ใช้สามารถเติมเงิน Fiat (USD หรือ EUR) เข้า Wallet ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม และแปลงเป็น Stablecoin USDC ได้ทันที ซึ่งช่วยให้การทำธุรกรรม On-chain ด้วย Stablecoin เป็นเรื่องง่ายขึ้น
โดยนอกจากประสบการณ์การ On-ramp ที่ง่ายขึ้นแล้ว การรับเงินก็ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเรามารถกำหนดให้ Paycheck ถูกส่งตรงเข้า Ledger โดยตรงได้เลย

Ledger สร้างฟังก์ชั่น Multisig โดยมีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์การบริหารจัดการ Treasury และการกำกับดูแล (Governance) สำหรับโปรเจกต์คริปโตฯ, Exhange, องค์กรรูปแบบ DAO (Decentralized Autonomous Organization) หรือองค์กรที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งธุรกรรมจะต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ลงนามตามจำนวนที่กำหนด เช่น ต้องมี 2 ใน 3 ของผู้ลงนาม (Signers) ถึงจะสามารถดำเนินการได้
โดย Ledger Multisig ถูกสร้างขึ้นบน Safe (ชื่อเดิม Gnosis Safe) ซึ่งเป็น Infrastructure หลัก เปิดตัวครั้งแรกบนเครือข่าย EVM หลักๆ เช่น Ethereum, Arbitrum, Base, Polygon, และ Optimism ซึ่งทาง Ledger อาจเปิดตัวการรองรับเชนอื่นๆเพิ่มเติมในอนาคต

การเปิดตัว Ledger Nano Gen 5 คือจุดเปลี่ยนที่เติบโตไปพร้อมกับพัฒนาการของ Web3 และ DeFi ที่ต้องการความปลอดภัยที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยยังเน้นการใช้งานที่ง่ายเหมาะกับผู้ใช้งานทุกระดับ ซึ่งรองรับการใช้งานที่มากกว่าเดิม เช่น การเชื่อมต่อ DApps โดยตรง, การ Swap ที่ไม่ใช่แค่การเก็บรักษา Private Key เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ทาง Ledger ยังมีการเพิ่มฟังก์ชั่น Multisig เพื่อรองรับการใช้งานในระดับองค์กรอีกด้วย
นอกจากนี้ ก้าวสำคัญนี้ยังมาพร้อมกับการเปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์ ที่ทำให้เห็นวิสัยทัศน์ของ Ledger ว่าไม่ได้ต้องการเป็นแค่ Wallet แต่ต้องการเป็น Secure Hub สำหรับทุกกิจกรรมในโลก Web3 ของผู้ใช้ และเป็นผู้นำของโลกในการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยใหม่อีกด้วย
