MegaETH เป็นโปรเจกต์ Layer 2 ของ Ethereum ที่ชูความเป็นเอกลักษณ์เรื่อง “ความเร็ว” และ “ค่าธรรมเนียมถูก” แน่นอนว่าทุกคนอาจจะสงสัยว่า
“อีกแล้วหรอ!”
ตั้งแต่ Optimism มา Arbitrum จนมา Layer 2 ตัวอื่นๆ ที่พยายามจะขายเรื่องความเร็ว การรองรับธุรกรรมได้มาก หรือค่าธรรมเนียมถูก MegaETH ก็เป็น Layer 2 อีกหนึ่งตัวที่ตั้งใจทำให้ตัวเองเป็นแบบนั้น
แต่ครั้งนี้แตกต่างกันออกเพราะ MegaETH ต้องการจะเป็นยิ่งกว่านั้น รายละเอียดเป็นยังไงไปดูกัน
MegaETH นั้นเป็นโปรเจกต์ Layer 2 ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็น “Real-Time” Blockchain ในที่นี้คือกดปุ๊ป ไปปั๊ป ส่งธุรกรรมปุ๊ป เงินออกปั๊ป แบบนั้นเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ในกับ Web2 Application แต่ Web3 นั้นยังไม่สามารถทำได้
เบื้องหลังแรงบันดาลใจในการทำ MegaETH นั้นมาจากที่ในตอนนี้แม้ว่าจะมี Layer 2 อยู่หลายตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีตัวไหนที่สามารถแก้ไขปัญหาของ Ethereum Mainnet ได้อย่างแท้จริง คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้ Application ที่ต้องการความเร็วประมวลผลระดับ Milliseconds ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ MegaETH นั้นถูกออกแบบมาให้เน้นไปที่ประสิทธิภาพสูงที่สุด
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาสำหรับผู้ใช้งาน Layer 1 ก็คือค่าธรรมเนียม (Gas Fee) ที่แพง และยังมีเรื่องของความแออัด (Congestion) ของเครือข่ายเมื่อมี Demand สูงอีกด้วย Shuyao Kong – Co-Founder ของ MegaETH – ได้เล่าว่ามีการร้องเรียนของนักพัฒนาที่อยู่ในตลาดว่า Layer 2 ที่มีอยู่นั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก และไม่ตอบโจทย์ Application ยุคใหม่ๆ นั่นทำให้ทาง MegaETH ตระหนักถึงความต้องการ ”บล็อกเชนที่เร็วกว่าและถูกกว่าเดิม”
สิ่งนี้ยังสอดคล้องกับแนวคิด “Endgame” ของ Vitalik Buterin อีกด้วยที่พูดถึงความจำเป็นของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถขยายขนาดและเติบโตได้
จะเห็นว่า MegaETH นั้นไม่ใช่เป็นแค่ทางเลือก Layer 2 ให้ผู้งานเท่านั้น แต่ยังทำมาเพื่อตอบโจทย์และแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นที่ Layer 2 ตัวอื่นๆ ยังไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
โดย MegaETH นั้นมีคุณสมบัติหลักดังนี้
ซึ่งการที่มัน “เร็ว” ขนาดนี้นั้นทำให้หลายนวัตกรรมมีโอกาสที่จะเกิดได้มากขึ้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้แต่เดิมทำได้ยาก เนื่องจาก Blockchain จะมีติด Delay อยู่เล็กน้อยเสมอ
การออกแบบระบบให้มีความเร็วมากนั้นเกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรมที่สูง ซึ่งยังช่วยให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมนั้นต่ำลงอย่างมากอีกด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้การส่งธุรกรรมแบบถี่ๆ นั้นเป็นไปได้ เช่น High Frequency Trader เป็นต้น
MegaETH ใช้สถาปัตยกรรมที่แตกต่างจาก Rollup ทั่วไป โดยเน้นการออกแบบเพื่อลด Latency (ความหน่วง) และเพิ่ม Throughput (ปริมาณงานจากการประมวลผล) ให้ได้มากที่สุด โดยได้ตั้งเป้าหมายของประสิทธิภาพที่ต้องการไว้คือการประมวลผลธุรกรรมได้มากกว่า 100,000 TPS (Transaction/Second) และมี Blocktime ที่ต่ำกว่า 10 Milliseconds ซึ่งเป็นตัวเลขที่เหนือกว่า Layer 2 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ MegaETH ได้ใช้กลไกทางเทคนิคขั้นสูงหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการพัฒนาด้วยภาษาโปรแกรมประสิทธิภาพสูงอย่าง Rust และ C++ รวมถึงการ Fork โค้ดจากโปรเจกต์สำคัญในวงการอย่าง paradigmxyz/reth และ bluealloy/revm ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Ethereum protocol ที่เน้นความเร็วและประสิทธิภาพ
ในระหว่างการทดสอบ Testnet ทางโปรเจกต์รายงานว่าสามารถทำความเร็วได้ถึง 15,000-20,000 TPS และมีความหน่วงของบล็อกที่ประมาณ 15 Milliseconds ซึ่งเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่น่าจับตามองโดยมีเป้าหมายต่ำสุดอยู่ที่ 1 Millisecond
สถาปัตยกรรมที่เป็นนวัตกรรมของ MegaETH คือการแบ่งบทบาทของโหนด (Node Specialization) แทนที่จะให้ทุกโหนดต้องทำทุกหน้าที่แบบบล็อกเชนดั้งเดิม โมเดลนี้ช่วยลดภาระการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้อย่างมหาศาล โหนดในเครือข่าย MegaETH แบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก:
การใช้ Single Sequencer เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดความเร็วในระดับที่สูง แต่ก็เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงอย่างกว้างขวางในวงการบล็อกเชนเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการรวมศูนย์ (Centralization Risk) โมเดลนี้อาจทำให้เกิดจุดบกพร่องเดียว (Single Point of Failure) ที่อาจทำให้เครือข่ายหยุดชะงักได้ อย่างไรก็ตาม ทางทีม MegaETH ได้คำนึงถึงความเสี่ยงนี้และได้ออกแบบมาตรการเพื่อลดผลกระทบ โดยมีการวางแผนใช้ระบบ Backup Sequencer และบังคับให้ Sequencer ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Collateral) ที่สามารถถูกยึดได้ (Slash) หากมีการกระทำที่ไม่สุจริตเกิดขึ้น
นอกจากการแบ่งบทบาทของโหนดแล้ว MegaETH ยังนำเสนอนวัตกรรมทางเทคนิคอื่นๆ ที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพของเครือข่าย:
MegaETH นั้นถูกพัฒนาโดย MegaLabs โดยทีมพัฒนาหลักๆ นั้นมีพื้นฐานจาก Computer Science และ Ethereum Ecosystem เป็นอย่างดี
MegaETH ระดมทุนได้รวม 57.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยแบ่งได้ดังนี้
การที่โปรเจกต์ได้รับการสนับสนุนจาก Vitalik Buterin นั้นช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับ MegaETH ได้อย่างมาก ด้านหนึ่งคือเงินทุนสนับสนุนแต่อีกส่วนหนึ่งคือการมาสนับสนุนด้วยตนเองอาจหมายถึงว่า MegaETH อาจมีความสอดคล้องกับแนวคิด “End Game” ของ Ethereum ที่เขามองเห็นจริงๆ ก็ได้
นอกจากนี้ Vitalik ยังมี Joseph Lubin – CEO ของ Consensys – ร่วมระดมทุนด้วยเช่นกัน ยิ่งช่วยทำให้ตัวโปรเจกต์นั้นได้รับความสนใจมากขึ้นไปอีก
MegaETH มี Governance Token ที่เก็งกันว่าจะชื่อ $MEGA ในปัจจุบันยังไม่มีการเปิดตัวเหรียญออกมา รวมถึงรายละเอียดต่างๆ อาทิ Supply, Mint Mechanism หรือการทำงานต่างๆ ก็ยังไม่ได้เปิดตัวออกมาและคงต้องรอติดตามกันต่อไป
June 2024 - ระดมทุน Private Funding $20M นำโดย Dragonfly, Vitalik และ Joseph Lubin
Dec 2024 - ระดมทุน $10M ผ่านแพลตฟอร์ม Echo
Feb 2025 - ระดมทุนเพิ่มได้เฉลี่ย ~$27M ผ่านการขาย NFT The Fluffle
Mar 2025 - เปิด Public Testnet
Sep 2025
ในช่วง Q4 2025 หรือ Q1 2026 นี้มีข่าวลือว่าจะเปิดช่วงเวลาที่ MegaETH Mainnet เปิดตัว
ปัจจุบัน MegaETH มีการเก็ง Airdrop อยู่ 2 ทางหลัก
เริ่มต้นจากการไปที่ลิงค์นี้ https://testnet.megaeth.com/#1
1) ขอ Test Token จากการกด [FAUCET]
2) เลื่อนลงมาด้านล่างเพื่อเพิ่มเชน MegaETH Testnet
3) ลองใช้งาน dApps ต่างๆ บน MegaETH
ขอบคุณภาพจาก MegaETH
MegaETH มีโครงการ Accelerate Builder ชื่อ “MegaMafia” ที่จะคอยช่วยเหลือ Builder ที่มาพัฒนา dApps บน MegaETH โดยมี dApps ที่น่าสนใจดังนี้
และยังมี dApps อื่นๆ อีกมากดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ https://testnet.megaeth.com/#5
Centralization Risk: MegaETH ใช้ Sequencer เพียงตัวเดียวในการสั่งการและจัดเรียงธุรกรรม เพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุดในระดับ Millisecond การออกแบบนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงจากการมี จุดบกพร่องเดียว (Single Point of Failure) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านความปลอดภัยของเครือข่ายและการหยุดชะงักของการผลิตบล็อก
Market Risk: ตลาดคริปโตนั้นมีการเปลี่ยน Market Narrative หลักอยู่เสมอๆ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดผู้ใช้งานในวงกว้างได้หาก MegaETH นั้นไม่สอดคล้องกับ Trend ตลาด
Technical Risk: เนื่องจากปัจจุบัน MegaETH ยังคงอยู่ในสถานะ Testnet ยังไม่มีการพิสูจน์ถึงความทนทานต่อความผันผวนของตลาดหรือช่องโหว่ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น จึงต้องจับตาดูกันต่อไปหลังจาก Mainnet ปล่อยตัวออกมา
MegaETH เป็น Layer 2 ของ Ethereum ที่ตั้งเป้าเป็น "Real-Time Blockchain" ตัวแรก โดยเน้นความเร็วสูงสุดถึง 100,000+ ธุรกรรมต่อวินาที และ Blocktime ต่ำกว่า 10 milliseconds ซึ่งเร็วกว่า Layer 2 อื่นๆ มาก โปรเจกต์เกิดจากความต้องการแก้ปัญหาของ Ethereum และ Layer 2 ที่มีอยู่ ซึ่งยังไม่สามารถรองรับ Application ที่ต้องการความเร็วระดับ milliseconds ได้อย่างแท้จริง
MegaETH ใช้สถาปัตยกรรมแบบแบ่งบทบาทโหนด (Node Specialization) ประกอบด้วย Sequencer Nodes, Prover Nodes และ Replica Nodes พร้อมนวัตกรรมอย่าง Custom State Tree, Parallel Execution และ Integration กับ EigenDA ทีมพัฒนามาจาก Stanford และ MIT โดยได้รับการสนับสนุนจาก Vitalik Buterin และระดมทุนไปแล้วกว่า 57 ล้านดอลลาร์ จาก Dragonfly Capital และนักลงทุนชั้นนำ
ในปัจจุบัน MegaETH เปิด Public Testnet แล้วและคาดว่าจะเปิด Mainnet ใน Q4 2025 หรือ Q1 2026 มีโอกาส Airdrop สำหรับผู้ถือ NFT "The Fluffle" (5% ของ Total Supply) และผู้ทดสอบ Testnet อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากการใช้ Single Sequencer ที่อาจเกิด Centralization Risk และยังไม่ได้พิสูจน์ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร
ต้องคอยติดตามดูต่อไปว่าในอนาคต MegaETH จะสามารถแย่ง Market Share จาก Layer 2 ตัวอื่นๆ ได้มากน้อยแค่ไหน และจะยั่งยืนหรือไม่ ซึ่งคงต้องให้เวลาเป็นข้อพิสูจน์ครับ