%20Plasma%20%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%20Stablecoin%20%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%89%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%B0%20X.jpg)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Stablecoin ได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดในโลกคริปโต ด้วยคุณสมบัติที่ผูกมูลค่ากับสินทรัพย์ในโลกจริง อย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Stablecoin สามารถลดความผันผวนและทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างระบบการเงินแบบดั้งเดิมกับโลก Web3 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณภาพจาก Artemis (ข้อมูลวันที่ 1 ตุลาคม 2025)
ตลาด Stablecoin มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการทำธุรกรรมรายเดือนในระดับหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับและการใช้งานที่แพร่หลายทั้งในฐานะเครื่องมือพักเงินในช่วงตลาดผันผวน และเป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรมต่างๆ ทั้งใน DeFi และ CeFi
ตลาด Stablecoin มีการแข่งขันสูง โดยผู้เล่นหลักในปัจจุบันคือ Tether (USDT) ที่ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดส่วนใหญ่ และ Circle USDC ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นรายอื่น ๆ ที่พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด รวมถึงผู้เล่นใหม่ ๆ จากหลากหลายประเทศที่เริ่มพัฒนา Stablecoin ของตนเองเพื่อรองรับการใช้งานภายในภูมิภาค หรือเพื่อใช้ในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน ซึ่งยิ่งทำให้การแข่งขันในตลาดนี้เข้มข้นขึ้น
ด้วยภาพรวมของตลาด Stablecoin ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันที่สูงเช่นนี้ Plasma จึงได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะด้านของ Stablecoin โดยมุ่งเน้นที่การสร้าง Infrastructure ที่รองรับการชำระเงินปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและมีต้นทุนต่ำที่สุด เพื่อก้าวขึ้นมาเป็นแพลตฟอร์มหลักสำหรับการทำธุรกรรม Stablecoin ในอนาคต
จากภาพรวมตลาด Stablecoin ที่ใหญ่และมีการแข่งขันสูง ต่อไปเราจะเจาะลึกถึง Plasma ซึ่งเป็น Blockchain ที่ถูกสร้างมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดนี้โดยเฉพาะ

Plasma คือแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น Infrastructure สำหรับ Stablecoin โดยเฉพาะ เพื่อแก้ไขปัญหาหลักของบล็อกเชนแบบเดิมที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมที่มีปริมาณสูง Plasma จึงมุ่งเน้นไปที่การมอบ ความเร็ว, ประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ ในระดับที่ Stablecoin ต้องการ
ด้วยความที่ Plasma ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาด Stablecoin โดยเฉพาะ ทำให้ Plasma มีตุดเด่นที่เน้นการใช้งานเกี่ยวกับ Stablecoin เช่น:
นอกเหนือจากการเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกสร้างมาเพื่อ Stablecoin โดยเฉพาะแล้ว Plasma ยังมีจุดเด่นสำคัญอีกหลายอย่างที่ช่วยให้การใช้งานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและราบรื่น:
USDT เป็น Stablecoin หลักบน Plasma และยังถูกกำหนดให้เป็น Whitelisted Gas Token อีกด้วย

Plasma ได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนทางการเงินจากนักลงทุนชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะในการระดมทุนรอบ Series A ซึ่งประสบความสำเร็จในการระดมทุนไปกว่า 20.50 ล้านดอลลาร์ นำโดย Framework Ventures และ Bitfinex นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ เข้าร่วม เช่น 6th Man Ventures และ Flow Traders ยิ่งไปกว่านั้น Plasma ยังได้รับเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic) จาก Founder's Fund ด้วย Valuation สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์
การลงทุนนี้ยังได้รับการสนับสนุนอย่างชัดเจนจาก Tether (ผู้ออกเหรียญ USDT) การที่ Tether เข้ามาลงทุนและสนับสนุนตามแนวคิดของ Paolo Ardoino (CTO ของ Tether) แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นว่า Plasma คือโครงสร้างพื้นฐานที่ถูกต้อง ที่จะช่วยให้ USDT สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น

โครงสร้างของ Plasma ถูกออกแบบมาที่ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ดังนี้
Plasma ใช้ Consensus Algorithm ที่เรียกว่า Fast HotStuff ซึ่งถูกปรับปรุงให้เป็นแบบ Pipelined ซึ่งแตกต่างจากระบบดั้งเดิมที่ประมวลผลตามลำดับ โดย PlasmaBFT จะทำงานแบบขนาน (Parallelize) ในขั้นตอน Propasal, Vote, และการยืนยันธุรกรรม (Commit)
การทำงานของ Plasma เข้ากันได้กับ EVM (Ethereum Virtual Machine) อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างขึ้นบน Reth ซึ่งเป็น เป็น Execution Client ของ Ethereum ประสิทธิภาพสูงที่เขียนด้วย Rust
Plasma มี Native Bitcoin Bridge แบบ Trust-minimized ซึ่งอนุญาตให้สามารถโอน BTC เข้าสู่ Plasma ได้โดยตรง โดยถือเป็น Bitcoin Sidechain (ซึ่งใช้ Bitcoin เป็น Settlement Layer)
โดยตัว Bridge เป็นแบบ Non-custodial และถูกรักษาความปลอดภัยโดย Validator Network ที่จะ Decentralize มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตรวจสอบธุรกรรม Bitcoin บน Plasma โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางแบบ Centralized
BTC ที่ถูก Bridge เข้ามา สามารถนำไปใช้บน Smart Contract ต่างๆ เช่น การใช้เป็น Collateral, BTC-backed Stablecoin และ BTCfi อื่นๆ เป็นต้น
ด้วยโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อการชำระเงินโดยเฉพาะและคุณสมบัติเด่นที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความเร็ว Plasma จึงเป็น Solution ที่พร้อมเข้ามาพลิกโฉมการใช้งาน Stablecoin ในหลากหลายมิติ
ต่อไปนี้คือตัวอย่าง Use Cases หลักที่ Plasma จะเข้ามาสร้างโอกาสใหม่ ๆ และแก้ไขปัญหาที่ระบบการเงินในปัจจุบันเผชิญอยู่

เดิมทีการโอนเงินข้ามพรมแดนมีค่าธรรมเนียมสูงและใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดย Plasma เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการโอน USDT เป็นศูนย์ ทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศถูกลงและรวดเร็วขึ้นอย่างมาก
โดยทั่วไปการชำระเเงินจำนวนน้อยมักค่าธรรมเนียมสูงกว่ามูลค่าธุรกรรม ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้จริง ซึ่ง Plasma มีค่าโอน USDT เป็น $0 และด้วยความเป็น Programmable ทำให้สามารถตั้งค่าการจ่ายเงินอัตโนมัติ (Automated Payments) ได้สำหรับธุรกิจ หรือการใช้งานทั่วไป
เดิมที่องค์กรต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพงเพื่อจ่ายเงินให้พนักงานหรือคู่ค้าทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ที่เข้าถึงธนาคารได้จำกัด แต่ Plasma ทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินให้พนักงานทั่วโลกผ่าน USDT ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีข้อจำกัดหรือค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไป
จากที่ร้านค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงให้กับตัวกลางและรอการชำระบัญชี (Settlement) นาน แต่ Plasma ทำให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินด้วย Stablecoin ได้โดยตรง ทำให้ได้รับเงินได้ทันที (Instant Settlement) ค่าธรรมเนียมลดลง และขยายฐานลูกค้าทั่วโลก
ประชากรในหลายประเทศประสบปัญหาเงินเฟ้อสูง และถูกจำกัดการเข้าถึงเงินดอลลาร์ แต่ Plasma ทำให้ Stablecoin มอบหนทางที่ Permissionless ในการถือครองและใช้จ่าย Digital Dollar อย่างปลอดภัย ด้วยเพียงโทรศัพท์มือถือและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ระบบธนาคารแบบดั้งเดิมมักกีดกันผู้คนในตลาดเกิดใหม่ ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินพื้นฐานได้ แต่ Plasma ทำให้ Stablecoin มอบเครื่องมือสำหรับการออม, การใช้จ่าย, และการส่งเงิน โดยไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร ทำให้ฟังก์ชันทางการเงินที่จำเป็นเหล่านี้เข้าถึงได้ทั่วโลก
Plasma มีเหรียญ XPL เป็น Native Token ของบล็อกเชน Plasma ซึ่งคล้ายกับ BTC ของ Bitcoin หรือ ETH ของ Ethereum โดยมีบทบาทหลักคือ:


อุปทานเริ่มต้นของโทเคน XPL เมื่อเปิดตัว Mainnet Beta จะอยู่ที่ 10,000,000,000 XPL โดยมีการจัดสรรดังนี้
Plasma ใช้ระบบ Proof-of-Stake (PoS) โดยมี Validators ทำหน้าที่ยืนยันธุรกรรมเพื่อแลกกับ Protocol Rewards
ข้อมูลจาก ASXN แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoin Supply บน Plasma นับตั้งแต่เปิดตัว โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 51% จาก $4,100 ล้าน เป็น 6,200 ล้าน จัดเป็นบล็อกเชนอันดับที่ 5 ด้าน Stablecoin Supply


ส่วนองค์ประกอบของ Stablecoin หลักใน Plasma ในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม โดยสามารถสรุปสัดส่วนหลักได้ดังนี้:
กราฟแสดง Plasma DeFi TVL ชี้ให้เห็นว่า TVL รวมเคยทำสถิติสูงสุดใกล้เคียง 6,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ก่อนที่จะลดลงมาและทรงตัวอยู่ในช่วง 4,000 ล้าน ถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงปลายเดือนตุลาคม

ยกตัวอย่างเมื่อพิจารณาเฉพาะกรณีของ USDT ใน DeFi Protocols หลัก จะเห็นว่ายังคงกระจายตัวอยู่ในหลากหลาย Protocols

นอกจากนี้ Ecosystem ของ Plasma ยังมีโปรเจกต์อีกจำนวนมากกว่า 50 โปรเจกต์ ครอบคลุมตั้งแต่ DeFi ที่ประกอบไปด้วย Lending, DEX, Stablecoin, Yield รวมถึง RWA, Payment, Infrastructure & Tooling, Bridge, Vault เป็นต้น
Plasma มี Incentive Program ด้วยการแจก XPL add-on incentives ให้กับแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อดึงดูดผู้ใช้งาน ทำให้มีหลายๆแพลตฟอร์มมี Yield ที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น


หมายเหตุ: แม้ว่าผลตอบแทนที่กล่าวมาข้างต้นจะมีความน่าสนใจสูง แต่อัตราผลตอบแทนเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด, กลไกของโปรโตคอล, จำนวนผู้ฝากและถอนสภาพคล่อง, รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาเหรียญ XPL

Plasma ได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์ Regulatory Strategy ผ่านการขอใบอนุญาตเรื่อง Payment Stacks โดยเน้นในประเทศที่ Stablecoin มีความสำคัญและมีการใช้งานสูงที่สุด ทั้งนี้เพื่อขยายการเคลื่อนย้ายเงินทุนสู่ระดับโลกและรองรับตลาดขนาดใหญ่ รวมถึงพันธมิตรในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น
แม้จะมีจุดเด่นทางเทคนิคและการเติบโตของ Ecosystem ที่น่าจับตา แต่ Plasma ในฐานะบล็อกเชนใหม่ก็ยังคงมีความเสี่ยงและยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกหลายอย่าง เช่น
ในฐานะที่เป็นบล็อกเชน Layer 1 ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น จำนวนผู้ตรวจสอบ (Validators) อาจยังมีจำกัด ทำให้ความเสี่ยงด้านการรวมศูนย์ (Centralization Risk) สูงกว่าเครือข่ายที่พัฒนามานาน
Native Bitcoin Bridge แม้ว่าจะมีกลไก Trust-minimized และ Non-custodial แต่ Bridge มักเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีในโลกคริปโต การรักษาความปลอดภัยของ Native Bitcoin Bridge ที่มีมูลค่าสูง จึงเป็นความรับผิดชอบและความท้าทายที่สำคัญของโปรโตคอล
นอกจากนี้ เช่นเดียวกับบล็อกเชนอื่น ๆ ยังมีความเสี่ยงจาก Smart Contract ที่ถูกอาจมีความเสี่ยงที่จะมีช่องโหว่ (Bugs) หรือข้อผิดพลาดในการเขียนโค้ดต่างๆได้
ต้องยอมรับว่าการเติบโตของ TVL ใน Plasma ส่วนใหญ่ถูกขับผลักดันด้วย XPL add-on incentives การลดลงของผลตอบแทน (APY) หรือการเปลี่ยนแปลงราคาของเหรียญ XPL อาจส่งผลกระทบให้ผู้ใช้และสภาพคล่องไหลออกจากเครือข่าย (TVL Outflow)
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อ XPL ซึ่งแม้จะมีกลไก EIP-1559 เข้ามาช่วยเผาค่าธรรมเนียม แต่การมีอัตราเงินเฟ้อ (Inflation) 5% ในช่วงเริ่มต้น ก็ยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม เพื่อประเมินผลกระทบต่อมูลค่าของเหรียญในระยะยาว
Plasma ต้องแข่งขันกับ Scaling Solution ที่มีชื่อเสียงและมีการยอมรับในวงกว้างบน Ethereum เช่น Optimistic Rollups และ ZK-Rollups ซึ่ง Solution หล่านี้ก็กำลังปรับปรุงประสิทธิภาพและลดค่าธรรมเนียมอย่างต่อเนื่อง Plasma จะต้องพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในแง่ของฟีเจอร์ Stablecoin นอกจากนี้ แม้จะมีจุดเด่นในเรื่องนี้ ก็มีความเสี่ยงที่คู่แข่งอื่น ๆ จะเข้ามาพัฒนาบล็อกเชนที่มีจุดประสงค์คล้ายคลึงกันเพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาด Stablecoin ในอนาคต
โดยสรุป Plasma ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็น Layer 1 ที่ออกแบบมาเพื่อปฏิวัติการใช้งาน Stablecoin โดยถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาหลักของระบบการชำระเงินเดิมและบล็อกเชนทั่วไปโดยเฉพาะ หัวใจสำคัญที่ทำให้ Plasma โดดเด่นเหนือคู่แข่งคือ USDT โอนฟรี, สถาปัตยกรรม PlasmaBFT ที่รวดเร็ว, และการมี Native Bitcoin Bridge รวมถึง Ecosystem ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจาก Tether และ Bitfinex ซึ่งเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ที่จะทำให้ Stablecoin เข้าถึงผู้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นบล็อกเชนใหม่ Plasma น่าจะยังต้องเจอกับความท้าทายบางอย่างอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความเสี่ยงด้านการรวมศูนย์ในช่วงเริ่มต้นของ Validator Network, ความท้าทายด้านความปลอดภัย ของ Bridge รวมถึงความยั่งยืนของอัตราผลตอบแทนสูง จาก XPL Incentive ที่อาจผันผวนได้ตามสภาวะตลาด
ด้วยปัจจัยทั้งหมดนี้ ทำให้ Plasma เป็น Infrastructure ที่มีศักยภาพสูงมากในการเป็นแกนหลักของการชำระเงินโลก แต่ทั้งนี้นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงจากการเป็นเครือข่ายใหม่ควบคู่ไปด้วย
